ด้านการควบคุมคุณภาพโดยเฉพาะสำหรับวัสดุ ควรจะมีการอ้างอิงถึงวิธีการทดสอบตามมาตรฐานและทำการทดสอบเป็นครั้งคราวเพื่อหาค่าความเบี่ยงเบนที่อาจเกิดขึ้นว่าแตกต่างจากคุณลักษณะที่กำหนดไว้หรือไม่ ในการประเมินคุณภาพของสินค้า ควรเริ่มตั้งแต่การตรวจสอบโดยใช้สายตาเมื่อสินค้าได้ทำการส่งมอบ ตามด้วยหลักการสุ่มตัวอย่างและปฏิบัติการตามพื้นฐานของระบบการควบคุมคุณภาพ ในการทดสอบควรจะดำเนินการโดยองค์กรอิสระที่มีเครื่องหมายในการทดสอบพร้อม และค่าใช้จ่ายในการทดสอบไม่สูงมากนัก ส่วนการสุ่มตัวอย่างจากบรรจุภัณฑ์ / วัสดุที่ส่งเข้ามาเพื่อทำการตรวจสอบควรมีการทำงานเป็นระบบ ซึ่งระบบที่นิยมใช้กันเรียกว่า "การตรวจสอบปกติแบบสุ่มตัวอย่างเดี่ยว" ดังแสดงในตารางที่ 3.2 การสุ่มตัวอย่างในระบบนี้เป็นวิธีที่สร้างความมั่นใจว่าตัวอย่างที่นำออกไปทดสอบสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนวัสดุทั้งหมดที่จัดส่ง พร้อมทั้งมาตรการในการยอมรับหรือไม่ยอมรับสินค้าที่ส่งมอบ
ตารางที่ 3.2 การตรวจสอบปกติแบบสุ่มตัวอย่างเดี่ยว
จำนวนใน 1 ล็อต (ชิ้น) | จำนวนตัวอย่าง (ชิ้น) | ระดับคุณภาพที่ยอมรับได้ (AQL) | |||||||||||
0.1% | 0.65% | 1.0% | 2.5% | 4.0% | 6.5% | ||||||||
Ac | Re | Ac | Re | Ac | Re | Ac | Re | Ac | Re | Ac | Re | ||
50-1,200 | 80 | 0 | 1 | 1 | 2 | 2 | 3 | 5 | 6 | 7 | 8 | 10 | 11 |
1,201-3,200 | 125 | 0 | 1 | 2 | 3 | 3 | 4 | 7 | 8 | 10 | 11 | 14 | 15 |
3,201-10,000 | 200 | 0 | 1 | 3 | 4 | 5 | 6 | 10 | 11 | 14 | 15 | 21 | 22 |
10,001-35,000 | 315 | 1 | 2 | 5 | 6 | 7 | 8 | 14 | 15 | 21 | 22 | 21 | 22 |
35,001-150,000 | 500 | 1 | 2 | 7 | 8 | 10 | 11 | 21 | 22 | 21 | 22 | 21 | 22 |
150,001-500,000 | 800 | 2 | 3 | 10 | 11 | 14 | 15 | 21 | 22 | 21 | 22 | 21 | 22 |
มากกว่า 500,000 | 1250 | 3 | 4 | 14 | 15 | 21 | 22 | 21 | 22 | 21 | 22 | 21 | 22 |
AQL = เปอร์เซ็นต์สูงสุดของสินค้าเสียหายที่ยอมรับได้ใน 1 ล็อต
Ac = ล็อตที่ยอมรับ ถ้าจำนวนของชิ้นตัวอย่างที่พบว่าเสียหายไม่เกินกว่าตัวเลขที่กำหนด
Re= ล็อตที่ไม่ยอมรับ ถ้าจำนวนของชิ้นตัวอย่างที่พบเสียหายเท่ากับหรือเกินกว่าตัวเลขที่กำหนด
ที่มา : Ramsland, T. "Handbook on Procurement of Packaging" Prodec, Helsinki
ตามตารางที่ 3.2 จำนวนชิ้นตัวอย่างที่จะนำออกมาตรวจสอบ จะถูกจำกัดโดยจำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ส่งมอบแต่ละล็อต ตัวอย่างเช่น ถ้าจำนวนในแต่ละล็อตถูกจำกัดให้เท่ากับการบรรทุกในรถบรรทุก 2 คัน คือ 30,000 ชื้น และระดับคุณภาพที่ยอมรับได้สำหรับความเสียหายระดับวิกฤติถูก เลือกที่ 1.0% ดังนั้นตารางนี้ จำนวนชิ้นตัวอย่างคือ 315 ชิ้นซึ่งหยิบมาจากกองต่างๆ ปรากฏว่ามีบรรจุภัณฑ์ที่เสียหายในระดับวิกฤติมากกว่า 7 ชิ้น เราจะไม่ยอมรับบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดในล็อตนี้
จะเห็นได้ว่าผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เป็นผู้เดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ ในขณะที่ผู้ซื้อได้เพียงแต่ตรวจสอบว่ามีคุณภาพตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ดังนั้นหน้าที่ของการควบคุมคุณภาพควรอยู่กับผู้ผลิตและผู้ผลิตทำการส่งข้อมูลทั้งหมดมายังผู้ซื้อ เพื่อทำการตัดสินใจที่จะยอมรับผลการทดสอบระหว่างผู้ซื้อและผู้ผลิต
เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอและช่วยให้ผู้ซื้อลดการตรวจสอบสำหรับสินค้าที่ได้รับ International Organization for Standardization (ISO) ได้จัดพิมพ์มาตรฐานของการบริหารคุณภาพและการประกันคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9000-9004 เมื่อปี พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจาก ผู้ซื้อมีความมั่นใจว่าผู้ผลิตได้ทำการตรวจสอบตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าให้ดีสม่ำเสมอ
มาตรฐานของการจัดการระบบประกันคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9000 มาจากหลักการ 3 ข้อ คือ
1. ผู้ผลิตผลิตสินค้าตรงตามความต้องการของลูกค้า และยอมรับประกันคุณภาพ
2. ผู้บริหารต้องมีความรับผิดชอบในคุณภาพ ต้องให้แนวทางในการรับประกันคุณภาพในขั้นตอนของการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของลูกค้า
3. ลูกค้ามั่นใจว่าสินค้าตรงตามความต้องการ และอยู่ในระดับของคุณภาพที่ตกลงกันไว้ ซึ่งผู้ผลิตต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาพในองค์กรของตน
ชุดมาตรฐานของการจัดคุณภาพได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เมื่อใดก็ตามที่จะมีการเซ็นสัญญาระหว่าง 2 บริษัท บ่อยครั้งที่ผู้ซื้อจะขอใบรับรอง ISO 9000 จากผู้ผลิตก่อนที่จะทำสัญญาการซื้อ ถ้าผู้ผลิตมีใบรับรอง ISO 9000 ผู้ซื้อก็มีความมั่นใจว่าผู้ผลิตได้ดำเนินการอย่างดีที่สุดที่จะให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าที่ได้คุณภาพ ISO 9000 นี้แบ่งออกเป็น 5 เรื่อง คือ 9000 กล่าวถึงแนวทางการเลือกและการใช้ระบบบริหารงานคุณภาพ 9001 และ 9002 กล่าวถึงรูปแบบการประกันคุณภาพในการออกแบบพัฒนาการผลิต การติดตั้งและการบริการ 9003 กล่าวถึงข้อกำหนดระบบคุณภาพในการตรวจและทดสอบขั้นสุดท้าย และ 9004 กล่าวถึงแนวทางการใช้การบริหารงานคุณภาพและหัวข้อต่างๆ ในระบบคุณภาพ
สุดท้าย ทุกคนควรตระหนักว่าการมีข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะจะนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพของผู้ผลิตในด้านการผลิตเพราะมีการควบคุมคุณภาพก่อนการส่งสินค้า นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อเมื่อทำการติดต่อกับผู้ผลิต
3.2 การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อป้องกันการเสียหายทางกายภาพ
ผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับการคัดเลือกวัตถุดิบมาอย่างดีผ่านกระบวนการแปรรูปทำการบรรจุใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม แต่เมื่อส่งไปยังจุดขายปรากฏว่าสินค้าแตกหักเสียหายขายไม่ได้ราคาย่อมเป็นสิ่งที่น่าเสียดายกับแรงงาน ความพยายาม และเงินทุนที่ได้ลงไป ด้วยเหตุนี้การออกแบบพัฒนาระบบบรรจุภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสียหายทางกายภาพจึงมีความสำคัญมากในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์
3.2.1 สภาวะอันตรายระหว่างขนส่ง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาแต่ดึกดำบรรพ์ ระดับความรุนแรงของความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั้นค่อนข้างจะประเมินได้ยาก เนื่องจากมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลาระหว่างการขนส่งดังแสดงไว้ในรูปที่ 3.3 อย่างไรก็ตามการออกแบบพัฒนาระบบบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการคือ ให้สามารถป้องกันอันตรายในระดับเฉลี่ย แต่ยอมให้เกิดความเสียหายบ้างจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากความไม่คุ้มทุนในการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในทางตรงกันข้าม การขนส่งสินค้าใดๆ ที่ไม่ประสบความเสียหายเลยในช่วงระยะเวลาเป็นเดือนๆ กลับเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในทางธุรกิจ เนื่องจากเป็นการแสดงว่าบรรจุภัณฑ์มีระดับการป้องกันมากเกินไป (Overpackaging) อันตรายอันเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุน อาจแสดงได้จากรูปที่ 3.3 ณ จุด A ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพเพียงพอและจะมีโอกาสเกิดความเสียหายสูง แต่หากเพียงเพิ่มต้นทุนบรรจุภัณฑ์สูงขึ้นสักนิดในระดับจำนวน (ข) บาท ก็จะสามารถลดอัตราความเสียหายได้ในระดับ (ก) ถ้าต้องการที่จะลดอัตราความเสียหายให้น้อยลงไปอีกจากระดับที่ลดลงมาแล้ว โดยลดลงอีกเท่าหนึ่ง คือ เท่ากับ (ก) จะพบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อลดความเสียหายเข้าใกล้เกือบเป็นศูนย์นั้น ณ จุด C จะเพิ่มขึ้นมาอีก (ค) บาท ซึ่งหากเปรียบเทียบกับต้นทุนกันแล้ว ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่จ่ายเพิ่มขึ้นอาจแพงมากกว่าความเสียหายที่ลดลงไปมากหลายเท่าตัว ด้วยเหตุนี้ บรรจุภัณฑ์อาหารจุด B จึงเป็นจุดที่คุ้มทุนต่อการลงทุนบรรจุภัณฑ์ โดยมีการยอมรับโอกาสการสูญเสียบ้าง โดยเฉพาะจากสภาวะอันตรายดังต่อไปนี้
รูปที่ 3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายและต้นทุนบรรจุภัณฑ์
(1) อันตรายทางกายภาพ
สภาวะอันตรายระหว่างการขนส่งทางกายภาพสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ อันตรายจากการขนถ่ายสินค้า (Loading and Unloading) อันตรายจากการขนส่ง และอันตรายจากการเก็บในคลังสินค้า ดังที่ได้แสดงไว้ในตารางที่ 3.3 และมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. อันตรายจากการขนถ่ายสินค้า ระหว่างการขนถ่ายสินค้ามักจะเกิดการตกหล่น อาจเป็นการตกกระแทกพื้นหรือตกกระแทกลงบนวัสดุอย่างอื่นหรือตกลงบนบรรจุภัณฑ์อื่นๆ โดยปกติแล้วการตกกระแทกมักจะเกิดกับสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เกิน 50 กิโลกรัม เนื่องจากน้ำหนักของสินค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 10-25 กิโลกรัม ส่วนความสูงของการตกกระแทกนั้น จะแปรผันตามสภาวะการขนถ่ายสินค้า โดยปกติสินค้าที่ขนย้ายเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศจะมีโอกาสได้รับอันตรายมากกว่าสินค้าที่ขนส่งภายในประเทศ เนื่องจากมีอาจได้รับการขนย้ายบ่อยครั้งกว่าและสภาวะของการขนย้ายในแต่ละจุดของแต่ละประเทศแตกต่างกัน
2. อันตรายจากการขนส่ง อันตรายที่เกิดสามารถแยกตามประเภทของการขนส่งได้ 4 ประเภท คือ
- ทางรถไฟ ระหว่างการขนส่งโดยรถไฟ โอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อสินค้านั้นอาจเกิดขึ้นได้ 3 โอกาสคือ ช่วงระหว่างการต่อตู้รถไฟ การออกรถไฟอย่างกระชาก หรือ การหยุดอย่างกะทันหัน และการสั่นสะเทือนระหว่างการขนส่ง การต่อตู้รถไฟอาจก่อให้เกิดการกระแทกอย่างรุนแรงและอันตรายที่มีต่อสินค้าและบรรจุภัณฑ์จะแปรผันตามวิธีการจัดเรียงสินค้าภายในตู้รถไปและการใช้วัสดุป้องกันการสั่นกระแทกภายในตู้รถไฟ ส่วนอันตรายที่เกิดจากการออกรถและหยุดรถนั้นจะแปรผันตามประเภทของหัวจักรและระบบเบรกที่ใช้ ส่วนโอกาสที่เกิดจากการสั่นสะเทือนนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นตลอดการขนส่ง ความรุนแรงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนจะแปรตามความเร็วและสภาพของรางรถไฟพร้อมทั้งชนิดของตู้รถไฟ
- ทางรถยนต์ อันตรายที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการสั่นสะเทือนและกระแทก ซึ่งแปรตามสภาวะของถนนที่แล่นผ่าน ความรุนแรงของอันตรายจะแปรตามความถี่ของการสั่นสะเทือนที่เกิดจากตัวพาหะรถยนต์ ส่วนการสั่นสะเทือนมากน้อย (Amplitude) จะแปรตามสภาวะของถนนและความเร็วในการวิ่งของรถ
รูปที่ 3.4 แหล่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของการขนส่งทางรถยนต์
- ทางน้ำ ความรุนแรงของอันตรายที่เกิดนั้นจะขึ้นกับสภาวะคลื่นและการจัดเรียงวางสินค้าบนเรือ โดยทางปฏิบัติทั่วไปสินค้าที่ขนส่งโดยเรือจะเรียงซ้อนสูง 6 - 10 เมตร และจะได้รับการสั่นสะเทือนที่ความถี่ต่ำอันเนื่องมาจากเครื่องยนต์เรือและใบพัดเรือ ส่วนการโยก (Pitching) และการโคลง (Roll) ของพาหนะเรือจะส่งผลให้สินค้าที่เรียงซ้อนทับอยู่ข้างล่างได้รับแรงเครียดมากขึ้น
- ทางอากาศ ในการขนส่งทางอากาศ สินค้ามักถูกจำกัดด้วยปริมาตรและน้ำหนักของสินค้า ส่วนอันตรายที่เกิดระหว่างการส่ง มักจะเกิดจากแรงสั่นสะเทือนที่มีความถี่สูงอันเป็นผลจากตัวเครื่อง นอกจากนี้สินค้าจะประสบกับความดันและอุณหภูมิต่ำระหว่างการเดินทาง โดยปกติสินค้าที่ขนส่งทางอากาศมักจะต้องได้รับการขนส่งร่วมกับการขนส่งวิธีอื่นๆ เช่น ทางรถยนต์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการขนส่งทางอากาศมักจะต้องแข็งแรงกว่าปกติ
ตารางที่ 3.3 อันตรายทางกายภาพระหว่างการขนส่ง
รูปแบบอันตราย | สภาวะอันตราย | |
การกระแทก ก. ในแนวดิ่ง | 1. | บรรจุภัณฑ์ตกลงพื้นระหว่างการบรรทุกและการขนถ่าย |
2. | บรรจุภัณฑ์เลื่อนหรือไถลไปตกกระทบพื้นผิวอื่นๆ | |
3. | ตกจากสายพาน | |
4. | ผลจากการโยน | |
ข. ในแนวนอน | 1. | การหยุด หรือการสตาร์ทของรถไฟหรือรถยนต์ |
2. | รถยกเครนที่แกว่งและไปกระทบผนังหรือวัสดุอื่นๆ | |
3. | การกระทบเนื่องจากการหยุดของสายพาน | |
4. | การกระทบเนื่องจากการที่บรรจุภัณฑ์หยุดเคลื่อนไหว | |
5. | ผลจากการโยน | |
การสั่นสะเทือน | 1. | จากเครื่องมือในการขนถ่ายสินค้าในโรงงาน ,ท่าเรือ และอื่นๆ |
2. | เครื่องยนต์และการสั่นสะเทือนในระหว่างเดินทาง | |
3. | การสั่นสะเทือนของรถไฟ | |
4. | การสั่นสะเทือนของเรือ | |
5. | เครื่องยนต์และการสั่นสะเทือนของเครื่องบิน | |
การกดทับ | 1. | การจัดเรียงวางสินค้าในโรงงาน โกดังเก็บสินค้า และร้านค้า |
2. | การกดทับชั่วครั้งชั่วคราวของสินค้าระหว่างการขนส่ง | |
3. | ระหว่างการขนย้าย เช่น รถเครน , ลวดสลิง , ตะขอยึด | |
4. | สาเหตุจากข้อจำกัดการทำงานอื่นๆ | |
การเสียรูปร่าง | 1. | การวางบรรจุภัณฑ์บนพื้นผิวไม่เรียบในโรงงาน |
2. | การยกบรรจุภัณฑ์โดยใช้เครื่องมือที่ไม่มีประสิทธิภาพ | |
การเจาะทะลุ , การฉีกขาด | สาเหตุจากการใช้ตะขอหรือวิธีการใช้เครื่องมือในการขนย้ายที่ไม่ถูกต้อง หรือเครื่องมือไม่ดี |
3. อันตรายจากการเก็บในคลังสินค้า อันตรายที่เกิดขึ้นมักจะลดลง ถ้ามีการใช้หิ้งหรือชั้นในคลังสินค้า หรือมีการคำนวณความสามารถรับน้ำหนักได้ของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตามสำหรับสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์จึงต้องคำนึงถึงสภาวะคลังสินค้า ณ จุดหมายปลายทาง ปรากฏการณ์ที่พบประจำ คือ การจัดเรียงสินค้าในกล่องลูกฟูกบนกะบะ (รูปซ้ายมือ) แทนที่จะเป็นการไขว้กัน (รูปขวามือ) ดังแสดงในรูปที่ 3.5 เนื่องจากความสามารถในการรับแรงในแนวดิ่งของกล่องที่อยู่ 4 มุม ดังแสดงในรูปที่ 3.6
รูปที่ 3.5 การจัดเรียงวางกล่องบนกะบะเป็นแบบแนวตรง (ซ้ายมือ) และแบบไขว้กัน (ขวามือ)
รูปที่ 3.6 ความสามารถในการรับแรงของกล่องลูกฟูกอยู่ที่ 4 มุมของกล่อง
3.2.2 สภาวะอันตรายจากสภาพภูมิอากาศ
อันตรายที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศได้จัดแยกประเภทไว้ในตารางที่ 3.4 อันประกอบด้วยสภาวะอุณหภูมิ ความกดดันต่ำ แสง และสภาวะเปียกน้ำ เป็นต้น
ตารางที่ 3.4 อันตรายจากภูมิอากาศของการจัดจำหน่าย
รูปแบบอันตราย | สภาวะอันตราย | |
อุณหภูมิสูง | 1. | ถูกแสงแดดโดยตรง |
2. | การอยู่ใกล้กับความร้อน | |
3. | ถูกแสงแดดโดยทางอ้อมเนื่องจากการป้องกันความร้อนไม่ดีพอ | |
4. | สภาวะอากาศร้อนมาก | |
อุณหภูมิต่ำ | 1. | โกดังที่ไม่มีความอบอุ่นเพียงพอในสภาวะอากาศหนาวมาก |
2. | การขนส่งในสภาพที่ไม่มีความอบอุ่น | |
3. | การเก็บสินค้าในที่ที่ไม่ควบคุมระดับอุณหภูมิ | |
ความกดดันต่ำ | การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยเฉพาะในเครื่องบิน | |
แสง | 1. | กระทบกับแสงแดด |
2. | กระทบกับรังสีอัลตราไวโอเล็ต | |
3. | กระทบกับแสงอื่นๆ | |
น้ำ ก. น้ำธรรมชาติ
ข. น้ำสกปรก | 1. | น้ำฝนระหว่างการขนส่ง การบรรทุก |
2. | น้ำท่วม | |
3. | การควบแน่นของน้ำและเหงื่อ | |
1. | ไอเกลือของน้ำทะเลมาเกาะติดเรือขนส่ง | |
2. | คราบของน้ำทะเลบนท่าเรือ | |
3. | มลพิษของน้ำจากโรงงานและสารเคมี | |
พายุ | การเผชิญกับพายุทำให้พบกับฝุ่น , หิน , ทราย | |
ไอน้ำ | ความชื้นของบรรยากาศทั้งธรรมชาติและความจงใจ (Artificial) |
ระหว่างการขนส่ง บรรจุภัณฑ์อาจเกิดความเสียหายเนื่องจากฝน น้ำทะเล หรือการกลั่นตัวของหยดน้ำ (Condensation) การกลั่นตัวนี้จะแปรผันโดยตรงกับความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิของสภาวะภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้สภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนจะมีผลกระทบโดยตรงต่อบรรจุภัณฑ์และสินค้าที่บรรจุอยู่ภายใน ความชื้นอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าได้ 5 รูปแบบดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ สินค้าบางชนิด เช่น เครื่องหนังอาจจะเกิดการแห้ง สินค้าที่ทำด้วยไม้อาจมีการปริแตกเกิดขึ้น ในกรณีที่เป็นอาหารขบเคี้ยวจะสูญเสียความกรอบได้ เป็นต้น
2. การเปลี่ยนแปลงทางเคมีฟิสิกส์ ตัวอย่างเช่น การจับเป็นก้อนของเกลือและน้ำตาลหรือการสูญเสียน้ำของสินค้า
3. การเปลี่ยนแปลงทางจุลชีวะ ได้แก่ การเกิดเชื้อราหรือบักเตรี ถ้าสินค้ามีความชื้นมากจนเกินไป
4. การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ตัวอย่างเช่น การเกิดสนิมของโลหะ การกัดกร่อนของโลหะและการเกิด Browning ในผลิตภัณฑ์อาหาร
5. การเปลี่ยนแปลงเอนไซม์ (Enzyme) ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับสินค้าที่เป็นอาหาร ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเกิดจากสภาวะความชื้นและอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนระหว่างขนส่ง
ความแปรปรวนของอุณหภูมิที่ร้อนมากหรือเย็นมาก ย่อมมีอันตรายต่ออาหารบางประเภทอุณหภูมิที่สูงอาจเกิดจากสภาพภูมิอากาศโดยตรงหรือการตากแดดเป็นเวลานานๆ หรือการวางไว้ใกล้ๆ สิ่งที่กำเนิดความร้อน เช่น เตาอบ ไอน้ำ เป็นต้น ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความแปรปรวนของอุณหภูมิ คือ อาหารแช่แข็ง