การฆ่าเชื้อด้วยไมโครเวฟเป็นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์อาหารค่อนข้างใหม่ในเมืองไทย แต่ในระดับตลาดผู้บริโภคหรือร้านอาหารปลีกได้รับความนิยมใช้ในการอุ่นอาหารอย่างแพร่หลาย สำหรับการฆ่าเชื้อด้วยไมโครเวฟในระดับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์คิดว่าในเมืองไทยยังไม่มีใครเริ่มลงทุน ในต่างประเทศเริ่มจะมีการผลิตในเชิงพาณิชย์เมื่อประมาณ 10 ปีก่อนในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ฆ่าเชื้ออาหารที่บรรจุในถาด CPET ปิดฝาด้วยพลาสติกโดยฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 72°C เป็นเวลา 2 นาที สาเหตุที่การฆ่าเชื้อด้วยระบบไมโครเวฟไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะว่าระบบนี้สามารถยืดอายุอาหารได้เช่นเดียวกับการฆ่าเชื้อด้วยการพาสเจอร์ไรซ์ (pasteurization) แต่มีอายุไม่ยาวนานพอและยังต้องจัดส่งในระบบแช่เย็นอีกด้วย
ในรูปที่ 4.5 นี้เปรียบเทียบการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน 3 ระบบ ซึ่งจะพบว่าอุณหภูมิที่ใช้ในการฆ่าเชื้อไม่ได้แตกต่างกัน แต่จะต่างกันที่เวลา และอัตราการเพิ่มของความร้อนและการเย็นตัวในขณะทำการฆ่าเชื้อ
รูปที่ 4.5 เปรียบเทียบอุณหภูมิและเวลาในการฆ่าเชื้อการเย็นตัวของระบบฆ่าเชื้อด้วยความร้อน
แหล่งที่มา : Willhoft, E.M.A. "Aseptic Processing and Packaging of Particulate Foods"
4.3.6 การยืดอายุอาหารด้วยวิธีการทางเคมี
การใช้สารเคมีในการยืดอายุอาหารนั้น สามารถทำได้โดยการผสมสารเคมีเข้าไปในอาหารหรือการใส่เข้าไปในบรรจุภัณฑ์เพื่อยับยั้งปฏิกิริยาที่จำทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพ การใช้สารเคมีทางธรรมชาติและสารเคมีสังเคราะห์ในการยืดอายุอาหารนั้น มักใช้ร่วมกับการถนอมอาหารวิธีอื่นๆ และมักจะมีกฎหมายควบคุมการใช้สารเคมีดังกล่าวในอาหารนั้นด้วยเสมอ การถนอมอาหารด้วยสารเคมีเป็นการใช้เพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน สารเคมีบางจะพวกทำให้สถานะของอาหารอยู่ในสภาพของกรดหรือใช้ในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ยีสต์ และรา ในตารางที่ 4.6 แสดงชนิดของสารกันบูด (preservative) ที่มีผลต่อจุลินทรีย์ และในทางปฏิบัติมักจะใช้สารเหล่านี้มาผสมกัน เนื่องจากไม่มีสารกันบูดชนิดใดที่มีผลทำลายจุลินทรีย์ทุกชนิดได้ การรมควันนับเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ใช้วิธีทำให้แห้ง พร้อมทั้งใช้สารเคมีช่วยในการถนอมอาหารซึ่งโดยมากจะเป็นสารที่มีผสมกับเกลือ
ตารางที่ 4.6 แสดงชนิดของสารกันบูดที่มีผลต่อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ
ชนิดของสาร | |||
ไนไตรต์ (nitrite) ซัลไฟต์ (sulfites) กรดฟอร์มิก กรดโพรพิออนิก กรดซอร์บิก กรดเบนโซอิก พารา-ไฮดรอกซีเบนโซอิก แอซิด เอสเทอร์ ไดพีนิล | ++ ++ + + + ++ ++ -- | -- + ++ ++ +++ +++ +++ ++ | -- + ++ ++ +++ +++ +++ ++ |
หมายเหตุ -- แสดงว่า ไม่มีผล
+ แสดงว่า มีผลบ้างเล็กน้อย
++ แสดงว่า มีผลปานกลาง
+++ แสดงว่า มีผลมาก
แหล่งที่มา : ไพบูลย์ ธรรมรัตน์วาสิก "กรรมวิธีการแปรรูปอาหาร"
การยืดอายุอาหารด้วยวิธีการทางเคมีอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้สารดูดออกซิเจนโดยเป็นการทำปฏิกิริยาเคมีของสารดูดออกซิเจนกับบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ การทำปฏิกิริยากับออกซิเจนของอาหารจะสามารถลดลงได้โดยใช้สารดูดออกซิเจน ซึ่งปกติแล้วจะบรรจุในซองเล็กๆ แยกออกจากตัวสินค้าและบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์เดียวกัน สารดูดออกซิเจนนี้ส่วนใหญ่ทำจากผงเหล็กที่จะช่วยดูดออกซิเจนที่มีอยู่ในถุงและลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่จะเกิดกับอาหาร
ปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารที่ใช้วิธีการทางเคมีในการยืดอายุอาหาร คือ การใช้สารที่มีคุณค่าทางอาหารที่อยู่ในส่วนประกอบอาหาร เช่น วิตามินอี (Alpha Tocopherol) และวิตามินซี (Ascorbic Acid) เป็นตัวทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นแทนที่จะใช้สารเคมีอย่างอื่นๆ
4.3.7 การฉายรังสี (food irradiation)
การฉายรังสีเพื่อยืดอายุของอาหารเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 และเป็นที่ประจักษ์กันทั่วทั้งวงการว่าการฉายรังสีไม่มีผลกระทบต่อคุณค่าของอาหารเลย การฉายรังสีนับเป็นวิวัฒนาการใหม่ที่เริ่มมีการใช้อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม การฉายรังสีอาจมีผลทำให้โครงสร้างของบรรจุภัณฑ์เกิดการแปรรูปขึ้นเช่น ทำให้เหนียวขึ้น หดตัว หรือเปลี่ยนสี เป็นต้น
ในขณะนี้มี 30 ประเทศทั่วโลกยอมรับการยืดอายุอาหารด้วยการฉายรังสี แต่ยังมีบางประเทศห้ามจำหน่ายอาหารที่ผ่านการฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นวิธีการถนอมอาหารที่มีประสิทธิผลสูงสุดตามที่ WHO ของสหประชาชาติอนุมัติให้ใช้การฉายรังสีในการยืดอายุอาหารด้วยปริมาณรังสี 1 Mrad. โดยไม่ต้องมีการทดลองใดๆ ส่วนองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้จัดให้การฉายรังสีเป็นวัตถุเจือปนอาหาร เนื่องจากการฉายรังสีอาจก่อให้เกิดสารใหม่ที่ยังไม่ทราบขึ้นในอาหารที่ผ่านการฉายรังสีแล้ว
ปริมาณรังสี 1 Mrad หมายความว่าเป็นรังสีที่ได้จากแหล่ง Cobalt 60 ที่กระจายรังสีด้วยความถี่ 100 rads ต่อวินาที เป็นเวลา 2.78 ชั่วโมง หรืออาจได้จากการใช้ลำแสงอิเลคตรอนแต่ใช้เวลาเพียง 0.01 วินาทีก็จะได้ปริมาณแสงจำนวนเท่ากัน ส่วนหน่วย rads เป็นการวัดปริมาณพลังงานที่ถูกดูดซึม โดยมีค่าพลังงานเทียบเท่ากับ 2.4 x 10-6 แคลอรี่ต่อกรัม
รังสีที่ใช้กันมี รังสีเอ็กซ์ (X rays) ลำแสงเร้งอิเลคตรอน (Accelerated Electron Beams) และรังสีแกมม่า (Gamma Rays) ปรากฏว่าลำแสงเร่งอิเลคตรอนและรังสีแกมม่าให้ประสิทธิผลที่ดีกว่า แหล่งของรังสีแกมม่ามาจาก โคบอลต์ 60 (Cobalt 60) หรือซีเซียม (Cesium 137) รังสีแกมม่ามีอำนาจทะลุทะลวงได้ดีกว่าลำแสงเร่งอิเลคตรอน และสามารถฆ่าเชื้อสินค้าบนกะบะได้ทั้งหมดโดยไม่ทำให้รังสีตกค้างอยู่ในอาหารแต่จะใช้เวลานานกว่า ขณะที่อาหารได้รับการฉายรังสีสีส่วนประกอบของอาหารโดยมากจะปล่อยรังสีผ่านไป แต่จุลินทรีย์ที่ได้รับรังสีจะมีระบบ DNA เปลี่ยนแปลงไปจึงทำลายการเจริญเติบโต พร้อมทั้งลดโอกาสการทำปฏิกิริยาต่างๆ ที่จะทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพ
ถ้าปริมาณรังสีที่ฉายมากพอ ตัวผลิตภัณฑ์อาหารจะถูกฆ่าเชื้อได้ในระดับเดียวกับการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน แต่มีผลข้างเคียงต่อคุณภาพอาหารน้อยกว่าการใช้ความร้อนเพราะไม่มีผลต่อรสชาติ การเปลี่ยนสี และผลกระทบต่อคุณค่าอาหารจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นการฆ่าเชื้อแบบเย็น (Cold Sterilization) ในตารางที่ 4.7 แสดงถึงผลทางเทคนิคของอาหารที่ผ่านการฉายรังสี
ตารางที่ 4.7 ผลทางเทคนิคของอาหารที่ฉายรังสี
ผลกระทบ | ปริมาณรังสี |
การฆ่าเชื้อ | 2 - 6 Mrads |
ยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ | 100 - 1000 Mrads |
ยับยั้งการเติบโตของแมลง | น้อยกว่า 100 Mrads |
ยับยั้งการเติบโตของเชื้อพาราซิท (Parasites) | น้อยกว่า 100 Mrads |
วิธีการฆ่าเชื้อโดยการฉายรังสีนี้ ตัวบรรจุภัณฑ์และสินค้าได้รับการฉายรังสีพร้อมๆ กัน เมื่อใช้รังสีแกมม่าด้วยปริมาณ 1 Mrad กับฟิล์มพลาสติกที่ใช้กันทั่วไป เช่น PE , PET , PS รวมถึงฟิล์มที่ป้องกันการซึมผ่านได้ดี เช่น PVDC และไนลอน 6 สามารถผ่านการฉายรังสี โดยได้รับการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แม้ปริมาณรังสีสูงมากถึง 6 Mrads PE ยังใช้ได้ดี
การยืดอายุอาหารโดยการฉายรังสีนี้แม้ว่าจะได้รับความสนใจจากนักวิชาการด้านต่างๆ มาเป็นสิบปีทั้งในการวิจัยและการพัฒนา แต่ยังไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วทั้งโลก อาจจะเป็นเพราะการพูดถึงการฉายรังสี คนที่ได้ยินมักคิดว่าเป็นกัมมันตภาพรังสีชนิดเดียวกับที่ใช้ในการทดสอบปรมาณู อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยการยืดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารด้วยการฉายรังสีได้รับการวิวัฒนาการและพัฒนามากว่า 30 ปี และได้รับความนิยมใช้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอาหารประเภทแหนมและข้าวสาร
4.3.8 การปรับสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์
การปรับสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์จะช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารสดและอาหารแปรรูป เมื่อเทียบกับการปล่อยให้อาหารเหล่านี้อยู่ในบรรยากาศธรรมดา เปรียบเสมือนกับคนเราจะสุขสบายกว่าในห้องที่ได้ปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม โดยใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์คอนดิชั่น การปรับปริมาณอัตราส่วนของอากาศภายในบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสินค้าเหมือนกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้แก่สินค้าเพื่อการอยู่สบายและเป็นการยืดอายุของอาหารด้วย
ระบบการบรรจุที่ดูดเอาอากาศภายในบรรจุภัณฑ์ออกหรือที่เรียกว่า "บรรจุภัณฑ์สุญญากาศ" จัดได้ว่าเป็นการปรับสภาวะอย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นการดูดเอาอากาศออกจากบรรจุภัณฑ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อลดโอกาสการทำปฏิกิริยาของออกซิเจนกับอาหารซึ่งจะนำไปสู่การเสื่อมคุณภาพของอาหาร
ภายใต้สภาวะบรรยากาศปกติจะประกอบด้วยออกซิเจน 20% และไนโตรเจน 80% โดยประมาณพร้อมทั้งมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่เล็กน้อย การปรับอัตราส่วนของอากาศภายในบรรจุภัณฑ์เสียใหม่ย่อมทำให้อาหารที่อยู่ภายในทำปฏิกิริยากับอากาศในสภาพแตกต่างกัน ก๊าซแต่ละอย่างมีบทบาทต่อสินค้าดังต่อไปนี้
- ออกซิเจน
เป็นก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น การลดปริมาณออกซิเจนย่อมเป็นการลดปฏิกิริยาทางเคมีไปด้วย ตัวอย่างเช่น อาหารที่ผ่านการทอดหรืออาหารที่มีไขมันมากเมื่อนำมาบรรจุในสภาพปรับบรรยากาศ วิธีนี้จะลดปริมาณออกซิเจนให้เหลือน้อยที่สุด แต่ไม่ถึงกับไม่มีออกซิเจนเลย เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมให้บักเตรีประเภทที่เติบโตภายใต้สภาวะไม่มีออกซิเจน (Anaerobic Bacteria) เติบโตขึ้นมาแทน
- คาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซนี้เมื่อฉีดเข้าไปในบรรจุภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย วิธีที่นำมาใช้อย่างหนึ่ง คือ ให้มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 20% ในบรรจุภัณฑ์นั้นๆ แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีข้อเสีย คือ เมื่อละลายกับน้ำจะก่อให้เกิดสภาพกรดอย่างอ่อนๆ
- ไนโตรเจน
ก๊าซชนิดนี้เป็นก๊าซที่แตกต่างจากก๊าซทั้งสองที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เป็นก๊าซเฉื่อยทางชีวภาพและไม่ละลายกับน้ำพร้อมทั้งไม่มีกลิ่น จึงนิยมใช้ก๊าซไนโตรเจนเป็นก๊าซเข้าไปแทนที่อากาศในบรรจุภัณฑ์
ในแง่ของวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ใช้กับระบบปรับสภาวะบรรยากาศนี้ สิ่งที่จะต้องระวังมากเป็นพิเศษ กล่าวคือ ระบบการปรับสภาวะบรรจุภัณฑ์ต้องเป็นวัสดุที่ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซได้เป็นอย่างดีเพื่อรักษาสภาพการปรับบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ไว้ได้ตลอด นอกจากนี้ความแข็งแรงของรอยปิดผนึกเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องควบคุมให้ได้ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ระบบการปรับสภาวะบรรยากาศนี้จะสามารถยืดอายุผลิตภัณฑ์ได้มากกว่าถึง 2 - 10 เท่าตัว โดยการปรับสภาวะบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับอาหารแต่ละประเภท คุณประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของระบบบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ คือ ไม่จำเป็นต้องแช่แข็ง แต่อาจจะใช้เพียงแค่การแช่เย็นสำหรับสินค้าสด เช่น ผลไม้ เนื้อ และปลา เป็นต้น
4.4 การประเมินหาอายุของอาหาร
ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทนำแล้วว่า การประเมินหาอายุของผลิตภัณฑ์อาหารเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและบรรจุภัณฑ์ ถ้าอาหารที่รับประทานต้องการอายุเพียงแค่ 15 - 30 นาที และใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่า 1 กิโลเมตรจากแหล่งผลิตมายังแหล่งบริโภค บรรจุภัณฑ์ที่ใช้อาจใช้แบบไหนก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ทอดมันหรือกล้วยแขกที่ซื้อจากตลาดปากซอยที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ เมื่อซื้อจากปากซอยนำมารับประทานที่บ้านซึ่งใช้เวลาน้อยและระยะทางสั้นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้จึงอาจเป็นถุงพลาสติกธรรมดาหรือแม้กระทั่งถุงกระดาษพับจากหนังสือพิมพ์ โลหะหนักในหมึกพิมพ์ยังไม่ทันจะรู้ตัวที่จะเข้าทำปฏิกิริยา อาหารนั้นก็รับการบริโภคเข้าไปแล้ว ในเหตุการณ์เช่นนี้แทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความรู้อะไรในการพัฒนาอาหารและบรรจุภัณฑ์ แต่ภายใต้ธุรกิจการค้ากระแสโลกานุวัตรผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบรรจุภัณฑ์อาจต้องการอายุการเก็บถึง 15 เดือนแทนที่จะเป็น 15 นาทีและอาจต้องเดินทาง 10,000 กิโลเมตรแทนที่จะเป็น 1 กิโลเมตร ดังนั้นความรู้ที่จะใช้ในการพัฒนาอาหารและบรรจุภัณฑ์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
4.4.1 ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
อายุขัยของผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์จะแปรผันตามองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. ตัวผลิตภัณฑ์อาหาร สภาวะการยอมรับได้ของคุณภาพสินค้า ความไวในการทำปฏิกิริยาและความต้องการอื่นๆ
2. ตัวบรรจุภัณฑ์ อัตราการซึมผ่านของวัสดุบรรจุภัณฑ์ การรักษาคุณสมบัติต่างๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ คุณสมบัติทางกลของวัสดุบรรจุภัณฑ์
3. สภาวะขนส่ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และเวลา
ในองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ การรู้ซึ้งถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เช่น ความไวต่อการทำปฏิกิริยากับความชื้นและออกซิเจน ด้วยเหตุนี้จึงต้องทดสอบความไวในการทำปฏิกิริยาของผลิตภัณฑ์อาหารก่อนที่จะเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม
อายุขัยของผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ของระบบบรรจุภัณฑ์และสภาวะการกระจายสินค้าหนึ่งๆ นั้นจะแปรผันตามคุณภาพของอาหารในขณะที่เริ่มผิตและสภาวะการยอมรับได้เมื่อบริโภคหลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป ความแตกต่างของคุณภาพอาหารขณะผลิตกับขณะบริโภคยิ่งมีความแตกต่างมากอายุขัยของอาหารนั้นยิ่งยาว และถ้าคุณภาพอาหารมีการเปลี่ยนแปลงน้อย ย่อมเปิดโอกาสให้ใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันการซึมผ่านน้อย
การประเมินอายุของอาหารเป็นการใช้หลักการคำนวณทางคณิตศาสตร์จากปฏิกิริยาที่ทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอัตราซึมผ่านของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น ความกรอบของขนมปังจะทดสอบได้ด้วยการซึมผ่านของไอน้ำ เมื่อขนมปังนิ่มจนทานไม่ได้จะวัดค่าปริมาณของความชื้นในขนมปังที่นิ่มจนยอมรับไม่ได้ เมื่อมีการประเมินอายุของขนมปังในบรรจุภัณฑ์อื่นๆ จะใช้เกณฑ์ของปริมาณความชื้นเป็นเกณฑ์ตัดสิน เช่นเดียวกับการเหม็นหืนของอาหารที่มีไขมันสูง จะใช้เกณฑ์การดูดซึมหรือปฏิกิริยาระหว่างออกซิเจนกับอาหารเป็นเกณฑ์ตัดสินและประเมินอายุของอาหารจากปริมาณการซึมผ่านของออกซิเจนเข้าสู่ภายในบรรจุภัณฑ์
ตัวระบบบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ในการรักษาคุณภาพของอาหารประกอบด้วย บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (primary packaging) บรรจุภัณฑ์ชั้นนอก และบรรจุภัณฑ์ขนส่ง การทำงานของเครื่องจักรบรรจุและสมรรถนะของเครื่องจักร เครื่องจักรที่มีสมรรถนะดีและใช้งานอย่างถูกต้องมีผลต่อการรักษาคุณภาพของอาหาร เนื่องจากเอื้ออำนวยให้บรรจุภัณฑ์ทำงานได้อย่างเต็มที่ตามที่ได้ออกแบบมา ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ การประเมินอายุขัยของอาหารพร้อมบรรจุภัณฑ์จึงควรกระทำอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องบรรจุที่ทำงานจริงๆ ไม่สมควรใช้อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทดสอบอายุขัยเสมอไป
การวัดอัตราการซึมผ่านของวัสดุบรรจุภัณฑ์เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการประเมินอายุของอาหาร การวัดอัตราการซึมผ่านที่แน่นอน ถูกต้อง มิได้เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่า การประเมินอายุขัยจะถูกต้องแม่นยำเสมอไป เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากมาย การวัดอัตราการซึมผ่านเป็นเพียงการทดสอบประเภทบ่งบอก (Identification) ที่กระทำในห้องปฏิบัติการภายใต้สภาวะควบคุม โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งมีผลให้การซึมผ่านรวดเร็วกว่าทดสอบในห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามความรู้พื้นฐานในการประเมินอายุประกอบด้วย ความรู้เรื่อง Moisture Isotherm และการดูดซึมของออกซิเจน
(1) Moisture Isotherm
เทคนิคที่ใช้ในการประเมินอายุอาหารจะเริ่มจากการหากราฟ Isotherm ของอาหารซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความชื้นของอาหาร ณ จุดสมดุลของอุณหภูมิที่ความชื้นสัมพัทธ์ต่างๆ กันรูปที่ 4.7 แสดงการดูดความชื้นที่สมดุล (Sorption Isotherm) ที่ความชื้นสัมพัทธ์ต่างๆ จะพบว่าอาหารมีความชื้นมากขึ้น โดยเฉพาะเส้นกราฟ a ที่เพิ่มความชื้นได้เร็วมาก ส่วนกราฟ c เป็นอาหารที่ไม่ค่อยไวต่อความชื้น ค่าที่จุด x นั้นเป็นค่าของอาหารเมื่อมีการแปรรูปแล้ว ส่วนจุด o ในแต่ละกราฟนั้นเป็นจุดวิกฤติของความชื้นที่จะทำให้อาหารไม่เป็นที่ยอมรับ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ที่จะช่วยป้องกันการซึมผ่านของความชื้นไม่ให้เกินกว่าค่า o ของสินค้าแต่ละประเภท
รูปที่ 4.7 แสดงการดูดความชื้นที่สมดุล
แหล่งที่มา : Heiss, R "Principles of Food Packaging_An International Guide"
ในสภาพความเป็นจริงระหว่างขนส่ง สภาวะความชื้นจะแปรปรวนมากกว่าค่าสมดุลที่หาได้จากในกราฟ และทำให้การซึมผ่านของไอน้ำเกิดขึ้นได้เร็วกว่าภายใต้สภาวะการทดสอบ ด้วยเหตุนี้จึงมักมีการหาค่าความชื้นสัมพัทธ์ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างการขนส่งเพื่อนำมาจำลองในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินการดูดซึมความชื้นของอาหารในระหว่างการขนส่งและการจัดจำหน่าย
กราฟ Isotherm ของสินค้าต่างชนิดกันจะมีรูปร่างแตกต่างกันดังแสดงในรูปที่ 4.8 อาหารที่มีโปรตีนสูงหรือแป้งสูงหรืออาหารที่ค่าน้ำหนักโมเลกุลหนักจะมีค่าสมดุลของความชื้นในอาหารที่ค่าความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ รูปกราฟจะไม่ชันมากเมื่อเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ ดังเช่น กราฟรูป A และ B ของแป้งและโปรตีน ในขณะเดียวกันอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันอยู่มาก เมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูงขึ้น ปริมาณความชื้นจะเพิ่มเร็วมากดังเช่นกราฟรูป D, E และ F ตามลำดับ อาหารบางชนิดที่ตกผลึกได้ง่าย (Crystalline) จะเปลี่ยนสถานะทางกายภาพที่ค่าความชื้นหนึ่ง เช่น เกลือจะไม่ดูดความชื้นจากบรรยากาศเลย นอกเสียจากว่าความชื้นสัมพัทธ์จะสูงกว่า 85%
รูปที่ 4.8 กราฟแสดงสถานะความชื้นสัมพัทธ์ของแป้งและโปรตีน
แหล่งที่มา : Pine, F.A. "Fundamentals of Packaging" p.51.
สินค้าใดก็ตามที่รู้ค่าปริมาณความชื้นวิกฤติ ปริมาณความชื้นในสินค้าก่อนจะบรรจุ อัตราการซึมผ่านของไอน้ำของบรรจุภัณฑ์ ความชื้นสัมพัทธ์ที่แตกต่างกันระหว่างบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมและภายในบรรจุภัณฑ์ ก็จะสามารถประเมินอายุของผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำปฏิกิริยากับความชื้นของอาหารนั้นได้ ถ้าอายุที่ประเมินได้นั้นสั้นเกินไป ก็จำเป็นต้องหาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์อาหารเกือบทุกชนิดมีส่วนผสมของน้ำอยู่และย่อมมีอิทธิพลต่ออายุของอาหารโดยแปรตามสภาวะของอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในบรรยากาศ ดังนั้น การศึกษาสภาพการคายน้ำและดูดน้ำของผลิตภัณฑ์อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากปัญหาของความชื้นแล้วยังมีปัญหาการทำปฏิกิริยาของออกซิเจนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
(2) การดูดซึมของออกซิเจน
การทำปฏิกิริยาของออกซิเจนสลับซับซ้อนมากกว่าการดูดและคายความชื้นของอาหารในระบบบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ นอกเหนือจากการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนของอาหารแล้ว ปัญหาของออกซิเจนเข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบบรรจุภัณฑ์ด้วย 2 ปรากฏการณ์คือ
1. ระบบบรรจุภัณฑ์สุญญากาศ ความแตกต่างของความดันอากาศภายในและภายนอกบรรยากาศที่เห็นได้อย่างเด่นชัด ดังนั้นการซึมผ่านของก๊าซจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. ระบบบรรจุภัณฑ์ปรับบรรยากาศ ปริมาณของก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศกับปริมาณออกซิเจนภายในบรรจุภัณฑ์จะยังคงมีอยู่แม้ว่าจะฉีดก๊าซเฉื่อยเข้าไปแล้ว เนื่องจากภายในสารอาหารยังคงมีออกซิเจนอยู่
หลักการวิเคราะห์จะคล้ายกับการซึมผ่านของไอน้ำ แต่หัวใจสำคัญคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจวัดปริมาณของออกซิเจน บางระบบใช้ระบบการเหนี่ยวนำความร้อนของก๊าซที่เป็นตัวนำ (Sweep Gas) แต่ที่นิยมมากที่สุด คือ การใช้ Gas Chromatography ซึ่งสามารถตรวจวัดออกซิเจน ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ได้
การซึมผ่านของออกซิเจนผ่านวัสดุบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะพลาสติก จะแปรเปลี่ยนไปตามชนิดของพลาสติก นอกจากนี้สภาวะสิ่งแวดล้อมยังมีอิทธิพลต่อการซึมผ่าน ยกตัวอย่างเช่น
1. พลาสติกจะพวกไนลอนหรือ Polyamide การซึมผ่านของออกซิเจนจะมีอัตราการซึมผ่านเร็วขึ้น 5 เท่าตัว ถ้าความชื้นสัมพัทธ์ของก๊าซเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 100% RH ส่วนพลาสติกอื่นๆที่ใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น PE PP PVC และ PET ผลกระทบของความชื้นสัมพัทธ์ต่อการซึมผ่านมีน้อยมาก
2. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากอุณหภูมิในช่วง 0°c - 50°c พลาสติกส่วนใหญ่จะปล่อยให้มีอัตราการซึมผ่านได้เร็วถึง 100 เท่า โดยมีความชื้นสัมพัทธ์เป็นค่า Logarithm ของอัตราการซึมผ่านและอุณหภูมิจะเป็นเส้นตรง
<<ย้อนกลับ อายุของผลิตภัณฑ์อาหาร ตอนที่2อ่านต่อ อายุของผลิตภัณฑ์อาหาร ตอนที่4 >>