News and Articles

ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารตามมาตรฐาน ISO 22000 : 2005

ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารตามมาตรฐาน ISO 22000 : 2005


หมวดหมู่: มาตรฐานอาหาร [คุณภาพและ มาตรฐานอาหาร]
วันที่: 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โดย

กัลยาณี ดีประเสริฐวงศ์

หัวหน้ากลุ่มควบคุม สนับสนุน และพัฒนาสถานที่ผลิตอาหาร

กองควบคุมอาหาร

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ความสำคัญของระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารตามมาตรฐาน ISO 22000 : 2005

ปัจจุบันธุรกิจต่างๆมีการแข่งขันสูง การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการของลูกค้าและมีความปลอดภัยที่จะบริโภคกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับผู้ผลิต ดังนั้น การนำระบบการบริหาร คุณภาพที่มีประสิทธิภาพเข้ามาช่วยในการประกอบธุรกิจก็จะทำให้องค์กรมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งในอนาคตระบบ GMP/HACCP ไม่ใช่เป็นระบบพื้นฐานแล้วอาจกลายเป็น ISO 22000 ที่เป็นพื้นฐานการจัดการด้านคุณภาพ และความปลอดภัยของอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อาหาร ระบบนี้เข้ามาในประเทศไทยหลายปีแล้วแต่ผู้ประกอบการอาหารเริ่มตื่นตัวขอการรับรองระบบ เนื่องจากประเทศคู่ค้าให้ความสำคัญในการต้องการสินค้าที่มาจากประเทศที่มีโรงงานที่มีระบบ Food Safety ประกันความปลอดภัยของสินค้าตลอดระบบห่วงโซ่อาหารมากขึ้น ขณะนี้ประเทศไทยมีโรงงานที่ได้การรับรองระบบ ISO 22000 : 2005 จากหน่วยรับรอง (Certification body : CB) ซึ่งจากเอกชนประมาณ 20 ราย แต่ยังไม่พบข้อมูลจากภาครัฐ

ISO 22000 เป็นระบบคุณภาพที่ต่อยอดในเรื่อง ความปลอดภัยอาหาร เป็นการรวมเอาระบบ GMP ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของอุตสาหกรรมอาหารกับระบบ HACCP ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์จุดอันตรายแต่ละขั้นตอนการผลิตและมีการผนวก ISO 9001 เข้าไปเสริมในเรื่องการจัดการและระบบเอกสารทำให้ระบบนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งนี้เพื่อให้อาหารที่ผลิตมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ข้อกำหนดของระบบมาตรฐานนี้ใช้สำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารสำหรับองค์กรต่างๆ ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งต้อง

จัดให้มีกลไกสามารถควบคุมอันตรายที่เกิดขึ้น เพื่อให้อาหารมีความปลอดภัยต่อการบริโภค ข้อกำหนดนี้สามารถประยุกต์ใช้กับทุกองค์กร โดยไม่จำกัดขนาด ซึ่งองค์กรนั้นจะเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหาร และการนำไปใช้เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เช่น โรงงานที่ผลิตภาชนะบรรจุ สารเคมี ผู้ขนส่ง ผู้ให้บริการจัดเก็บและการกระจายสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับห่วงโซ่อาหารก็สามารถนำระบบนี้ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

ข้อกำหนดการจัดการความปลอดภัยของอาหาร ISO 22000

ข้อกำหนดทั้งหมดในระบบ ISO 22000 มี 8 หัวข้อ แต่หลักการสำคัญของมาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร ISO 22000 ประกอบด้วย 4 หลักการสำคัญคือ

  • โปรแกรมขั้นพื้นฐาน
  • หลักการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม
  • ระบบการจัดการ
  • และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะนี้ระบบ ISO 22000 ถูกกำหนดเป็นประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ 3441 (พ.ศ.2548) เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร-ข้อกำหนดสำหรับองค์กรในห่วงโซ่อาหารมาตรฐานเลขที่ มอก 22000-2548 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 และทางสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : สมอ. กำลังจะจัดทำเป็นคู่มือฉบับภาษาไทยให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องข้อกำหนด 8 ข้อ กำหนดในระบบ ISO 22000 : 2005 ได้แก่ ขอบข่าย เอกสารอ้างอิง บทนิยามระบบการจัดการความปลอดภัยในอาหาร ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร การจัดการทรัพยากร การวางแผนและการจัดทำผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และการรับรองผลการตรวจสอบและการปรับปรุงระบบ ทั้ง 8ข้อกำหนด จะมี 5 หัวข้อสำคัญ ซึ่งจะขอสรุปประเด็นที่จะเป็นประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้แก่ผู้ประกอบการ และผู้ตรวจประเมิน ดังต่อไปนี้

1. ระบบการจัดการความปลอดภัยในอาหาร (Food Safety management System) (ข้อกำหนดที่ 4)

องค์กรต้องจัดทำเอกสาร (Document) ซึ่งประกอบด้วยเอกสารนโยบายและวัตถุประสงค์

ด้านความปลอดภัยอาหาร เอกสารขั้นตอนการดำเนินการ (Procedure) และบันทึกคุณภาพตามที่มาตรฐานนี้กำหนด (Record) และเอกสารอื่นๆที่จำเป็น เอกสารดังกล่าวต้องมี Procedure ควบคุม ซึ่งสอดคล้องกับ ISO 9001 : 2000

สรุป ข้อกำหนดนี้เน้นการจัดทำเอกสารและการควบคุมเอกสาร

2. ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร (Management Responsibility)

(ข้อกำหนดที่ 5)

ผู้บริหารขององค์กรมีความมุ่งมั่นให้การสนับสนุนด้านความปลอดภัยอาหาร ผู้บริหารต้องกำหนดนโยบายเป็นเอกสาร (ตามข้อ 1) และสื่อสารภายในองค์กรให้รับทราบทั่วถึง ซึ่งนโยบายนี้ต้องเหมาะสมกับบทบาทขององค์กรในห่วงโซ่อาหาร ต้องสอดคล้องกับกฎหมาย หรือข้อบังคับและข้อตกลงด้านความปลอดภัยอาหารของลูกค้า
  • ผู้บริหารต้องมีการวางแผนเพื่อบรรลุตามที่กำหนดไว้ในข้อ (1)
  • พนักงานทุกคนต้องได้รับมอบหมายความรับผิดชอบให้รายงานปัญหาเกี่ยวกับระบบ
  • ความปลอดภัยอาหารไปยังบุคคลากรที่องค์กรแต่งตั้ง ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจและรับผิดชอบการจัดการและบันทึกรายละเอียดของปัญหา
  • องค์กรมีการแต่งตั้งบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมความปลอดภัยอาหาร (Food SafetyTeam Leader) โดยมีหน้าที่บริหารทีมจัดระเบียบงาน ดูแลการอบรมและการให้ความรู้แก่สมาชิกในทีมจัดทำระบบความปลอดภัยอาหาร รายงานประสิทธิผลของระบบ รวมทั้งประสานกับหน่วยงานภายนอก องค์กรต้องมีการสื่อสารภายนอกตลอดห่วงโซ่อาหารให้กับลูกค้า ผู้บริโภค หน่วยงานควบคุมกฎหมาย และหน่วยงานใดๆที่มีผลกระทบจากประสิทธิภาพและการปรับเปลี่ยนระบบความปลอดภัยอาหารองค์กรต้องมีการสื่อสารภายในกับบุคคลในองค์กร เกี่ยวกับประเด็นที่มีผลกระทบกับความปลอดภัยอาหาร โดยเฉพาะทีม Food Safety ต้องได้รับข้อมูลที่ทันเวลากับการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบกับการผลิต
  • องค์กรต้องจัดทำ ถือปฏิบัติ และธำรงรักษา เอกสารว่าด้วยเรื่องการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินและอุบัติภัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยอาหาร และที่เกี่ยวข้องกับบทบาทขององค์กรในห่วงโซ่อาหาร
  • ฝ่ายบริหารสูงสุดต้องทบทวนระบบความปลอดภัยอาหาร ตามช่วงเวลาที่วางแผนเพื่อให้มั่นใจถึงความเหมาะสม ความพอเพียง และประสิทธิภาพของระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินโอกาสในการปรับปรุงและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงระบบและนโยบาย และต้องมีการบันทึกการทบทวนทุกครั้ง

สรุป ข้อกำหนดนี้เน้นองค์กรและผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับการจัดทำระบบการวางแผน การทบทวน รวมทั้งเน้นเรื่องการสื่อสาร และการจัดการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยอาหาร

3. การจัดการทรัพยากร (Resource management) (ข้อกำหนดที่ 6)

องค์กรต้องมอบหมายทรัพยากรในการจัดทำ ถือปฏิบัติ ธำรงรักษา และปรับระบบการ

จัดการความปลอดภัยอาหารให้ทันสมัยอย่างเพียงพอ ทีม Food Safety และบุคคลใดๆที่ดำเนินกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยอาหาร ต้องมีความสามารถ ผ่านการให้ความรู้ อบรม มีทักษะและประสบการณ์

  • องค์กรต้องมอบหมายทรัพยากรเพื่อสนับสนุน การสร้าง การจัดการ และธำรงรักษาสภาพแวดล้อมที่จำเป็น เพื่อการประยุกต์ใช้ข้อกำหนดในมาตรฐาน

สรุป องค์กรต้องมีทรัพยากรทั้งด้านวัสดุ สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อมที่ดี รวมทั้งบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินการทางด้านความปลอดภัยอาหารเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน

4. การวางแผนและการจัดทำผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย (Planning and realization of safe products) (ข้อกำหนดที่ 7)

องค์กรต้องมีโปรแกรมพื้นฐานด้านสุขลักษณะ (Pre-requisite programs) (PRPs) ซึ่งอาจจะเป็น GAP (Good Agricultural Practice) , GHP (Good Hygienic Practice) , GVP (Good Veterinarian Practice) , GDP (Good Distribution Practice) , GPP ( Good Production Practice) , GTP ( Good Trading Practice) และ GMP (Good Manufacturing Practice) ขึ้นอยู่กับประเภทผู้ประกอบการในห่วงโซ่อาหาร และต้องจัดทำเป็นเอกสาร

องค์กรต้องมีระบบ HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) โดย

  • มี Food Safety Team
  • มีการระบุคุณลักษณะผลิตภัณฑ์ (Product characteristics)
  • มีการกำหนดการนำไปใช้งาน (Interned use)
  • มีการจัดทำแผนภูมิกระบวนการผลิต (Flow diagrams) และต้องอธิบายมาตรการควบคุมหรือวิธีการปฏิบัติที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยอาหาร เพื่อนำไปวิเคราะห์อันตรายในขั้นตอนต่อไป
  • การวิเคราะห์อันตราย (Hazard analysis) ทีม Food Safety ต้องประเมินอันตรายเพื่อกำหนดชนิดอันตรายที่จำเป็น ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่กำหนดเพื่อสร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัยอาหาร รวมถึงมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
  • การประเมินอันตราย (Hazard assessment) อันตรายแต่ละชนิดต้องถูกนำมาประเมินเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการกำจัดหรือลดลงสู่ระดับที่ยอมรับได้ เพื่อให้สามารถผลิตอาหารปลอดภัยโดยอาจใช้การพิจารณาความรุนแรง (severity) และโอกาสในการเกิดอันตราย (likelihood of occurrence) การสร้าง HACCP plan ซึ่งต้องถูกจัดทำเป็นเอกสาร โดยแต่ละจุดวิกฤตที่กำหนด ต้องประกอบด้วย อันตรายที่ถูกควบคุม มาตรการควบคุม ขอบเขตวิกฤต วิธีการเฝ้าระวัง การแก้ไขและมาตรการแก้ไข
  • องค์กรต้องมีการวางแผนการตรวจสอบ (Verification planning) โดยกำหนดวัตถุประสงค์ วิธีการ ความถี่ และผู้รับผิดชอบ และผลการทวนสอบต้องมีการบันทึกและสื่อสารไปยัง Food Safety ทีม
  • องค์กรต้องมีระบบการสอบกลับ (Tracibility system) โดยระบุรุ่นสินค้า และเชื่อมโยงไปยังวัตถุดิบ กระบวนการผลิต รวมทั้งการส่งมอบที่เกี่ยวข้อง และมีการจดบันทึก
  • องค์กรต้องมีมาตรการการควบคุมความไม่สอดคล้อง (Control of nonconformity) โดยมีการแก้ไข (Corrections) เมื่อขอบเขตวิกฤตของจุด CCP (Critical Control Point) เกิดการเบี่ยงเบน และต้องมีมาตรการแก้ไข (Corrective Action) และจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย (Handing of potentially unsafe products) เพื่อป้องกันสินค้าเหล่านั้นเข้าไปสู่ห่วงโซ่อาหาร และควรมีการประเมินเพื่อปล่อยสินค้า (Evaluation for release) เมื่อมีหลักฐานที่แสดงว่ามาตรการควบคุมมีประสิทธิภาพ หรือผลการสุ่มตัวอย่างการวิเคราะห์ แสดงว่ารุ่นที่ได้รับผลกระทบ มีความสอดคล้องกับระดับการยอมรับค่าความปลอดภัย แต่หากพบว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถปล่อยได้ต้องมีการกำจัด (Disposition of nonconforming products) ซึ่งอาจจะนำไปแปรรูปใหม่ หรือนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มเติมภายในหรือภายนอกองค์กร เพื่อลดอันตรายลงถึงระดับที่ยอมรับได้ หรือทำลายทิ้ง หรือกำจัดเป็นของเสีย
  • องค์กรต้องมีการเรียกคืนสินค้า (withdrawals) เพื่อช่วยให้การเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเป็นไปอย่างสมบูรณ์และทันต่อเวลา องค์กรต้องแต่งตั้งบุคลากรที่มีอำนาจในการเรียกคืน ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติและแจ้งหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งราชการ ลูกค้า และผู้บริโภค สินค้าที่ถูกเรียกคืนต้องเก็บกักไว้จนกว่าจะถูกนำมาทำลาย หรือถูกนำไปใช้เพื่อเจตนาอื่น หลังผ่านการประเมินว่าปลอดภัย
  • องค์กรต้องมีการตรวจสอบวิธีการเรียกคืน เทคนิคที่เหมาะสม เช่น Mock Recall หรือการซ้อม

สรุป ข้อกำหนดนี้เป็นข้อหลักการที่เน้นจุดสำคัญของการควบคุมความปลอดภัย

ของอาหาร คือ GMP/HACCP รวมถึงระบบการจัดการสินค้าเมื่อไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน

การสอบกลับสินค้า และการเรียกคืนสินค้า

5. การรับรองผล การทวนสอบ และการปรับปรุงระบบความปลอดภัยอาหาร

(Validation Verification and Improvement of FSMS) (ข้อกำหนดที่ 8)

ก่อนการประยุกต์ใช้มาตรการควบคุมใน PRPs และแผน HACCP หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ

องค์กรต้องทำการรับรอง (Validate) เพื่อให้แสดงว่า มาตรการนั้นๆสามารถให้ผลค่าที่ตั้งไว้ในการควบคุมอันตราย มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถเพื่อให้ผลิตภัณฑ์บรรลุตามที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนและประเมินใหม่

  • องค์กรต้องแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่าวิธีการเฝ้าระวัง การตรวจวัด และอุปกรณ์มีความเหมาะสมที่สามารถให้ผลการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ เครื่องมืออุปกรณ์ต้องมีการสอบเทียบ มีการจัดเก็บและรักษาบันทึกผลการสอบเทียบและทวนสอบ
  • องค์กรต้องมีการทวนสอบระบบการจัดการด้านความปลอดภัยอาหาร เช่น ตรวจประเมินภายใน (Internal audit) หากพบว่าการทวนสอบให้ผลไม่สอดคล้องตามแผน ต้องลงมือดำเนินการแก้ไขและต้องมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์จากกิจกรรมการทวนสอบ และรายงานผู้บริหารเพื่อนำเข้าสู่การประชุมทบทวนฝ่ายบริหาร และใช้เป็นข้อมูลปรับระบบให้ทันสมัย
  • ผู้บริหารระดับสูงต้องมั่นใจว่าระบบมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทันสมัย กิจกรรมเพื่อการปรับระบบให้ทันสมัยต้องได้รับการบันทึกในรูปแบบที่เหมาะสม และนำเข้ารายงานเพื่อพิจารณาในการประชุมทบทวนฝ่ายบริหาร

เนื่องจากระบบ ISO 22000 : 2005 เป็นระบบที่ประสานรวมกันระหว่างระบบ ISO 9001 และระบบ HACCP ซึ่งผู้เขียนได้จัดทำเป็นตารางเปรียบเทียบระหว่าง 3 ข้อมาตรฐาน ตามภาคผนวกในเอกสารแนบท้าย เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในเรื่องระบบการบริหารคุณภาพและความสอดคล้องหรือความเชื่อมโยงกันในแต่ละระบบได้ชัดเจนยิ่งขึ้นดังนั้น องค์กรหรือหน่วยงานที่มีระบบคุณภาพอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว การที่จะพัฒนาโดยนำระบบ ISO 22000 มาดำเนินการ จะสามารถประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้นและหากมีการทวนสอบรวมทั้งปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการผลิตสินค้าเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืนต่อไป

สรุป องค์กรต้องมีการยืนยันค่าตัวเลขต่างๆที่ใช้ หรือมาตรฐานที่นำมาอ้างอิงว่าเหมาะสมกับองค์กร สามารถลดขจัดอันตราย มีการทวนสอบอุปกรณ์ เครื่องมือที่สำคัญๆ โดยการสอบเทียบ และมีการทวนสอบระบบ เช่น การตรวจประเมินภายใน เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง

1. Food safety management systemRequirements for any organizations in the food chain :International standard ISO 22000 : First edition 2005

2. Codex Alimentarius Food Hygiene, Third edition, 2003



ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
GMP ความหมายและความสำคัญ
ความหมายและความสำคัญของ GMP ที่มา http://intranet.dip.go.th/boc/download/Data-Support/Other/GMP.doc GMP (Good Manufacturing Practice) หรือ หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีสำหรับการผลิต เป็นการจัดการสภาวะแวดล้อมขั้นพื้นฐานของกระบวนการผลิต เช่น การควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคล การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค การออกแบบโครงสร้างอาคารผลิต รวมถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต เป็นต้น ซึ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไข เป็นระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารขั้นพื้นฐาน (Food Safety Management System) คือ การจัดการเพื่อไม่ให้อาหารก่อผลกระทบทางลบต่อผู้บริโภค เมื่ออาหารนั้นถูกเตรียมหรือบริโภค ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารจะสมบูรณ์ เมื่อจัดทำระบบ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point) ซึ่งเป็นการจัดการด้านการควบคุมกระบวนการผลิต โดยจะทำการวิเคราะห์และประเมินอันตรายในขั้นตอนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่ตรวจรับวัตถุดิบ จนกระทั่งเป็นผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภค ว่าจุดใด หรือ ขั้นตอนใดมีความเสี่ยง ต้องควบคุม ถ้าปราศจากการควบคุมที่จุดนั้นจะทำให้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เรียกจุด หรือขั้นตอน นั้น ๆ ว่า จุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Critical Control Point; CCP) จากนั้นหามาตรการควบคุมจุดวิกฤต เพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อผู้บริโภค กล่าวได้ว่าGMP เป็นพื้นฐานที่สำคัญของ HACCPใครควรทำ GMP & HACCP ในอุตสาหกรรมอาหาร ห่วงโซ่อาหารเริ่มต้นจากเกษตรกรรม ทั้งเลี้ยงสัตว์ และเพาะปลูกพืช จากนั้นจะได้เป็นผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งต้องมีการจัดเตรียมเพื่อเป็นวัตถุดิบ ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตในโรงงานอาหาร หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้ ก็จะถูกขนส่งไปที่ร้านค้า ก่อนจะถึงมือ ผู้บริโภค จะสังเกตได้ว่าในห่วงโซ่อาหารมีขั้นตอนหลายขั้นตอนกว่าที่อาหารจะถึงมือผู้บริโภค จึงมีโอกาสทำให้อาหารไม่ปลอดภัยได้ 1. เกษตรกรรม 1.1 การเลี้ยงสัตว์ (ฟาร์ม) สัตว์ที่จะกลายมาเป็นอาหารมนุษย์ มีโอกาสเกิดอันตรายได้จากอาหารที่สัตว์กิน ยา วัคซีน วิธีการจัดการในฟาร์ม เป็นต้น ดังเห็นได้จาก ข่าวปัจจุบันเช่นพบสาร แอนตี้ไบโอติก (antibiotic) ในกุ้ง ซึ่งปนเปื้อนมาจากยาที่ใช้ในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง การจัดการฟาร์มที่ไม่ดี หรือสารไดออกซินในผลิตภัณฑ์นม หรือ สารอะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) ในนม ล้วนมีสาเหตุมาจากอาหารสัตว์ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถ ตกค้างจนกระทั่งสัตว์เหล่านั้นเป็นอาหาร จึงควรมีการจัดการด้านความปลอดภัยสำหรับอาหารสัตว์ (Feed Safety) คือ อาหารสัตว์ ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของสัตว์เป้าหมาย เมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกเตรียมเพื่อบริโภค มนุษย์ต้องไม่ได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์เหล่านั้น นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดการฟาร์มให้เป็นไปตามหลัก GAP (Good Agricultural Practice) ซึ่งใช้หลักการเดียวกับ GMP 1.2 การเพาะปลูก ผลผลิตที่เป็นพืช ต้องควบคุมให้ได้ผลผลิตมากที่สุด เสียหายน้อยที่สุด เกษตรกรจึงสรรหาวิธีการ มาจัดการซึ่งบางครั้งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่นการใช้ ยาฆ่าแมลง จึงควรนำหลัก GMP หรือ GAP มาจัดการ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตสูง โดยไม่ต้องใช้หรือลดปริมาณการใช้ สารเคมี ยาฆ่าแมลง ที่เป็นอันตราย และสามารถเลือกใช้โดยไม่ทำให้ พืช ผัก ผลไม้เหล่านั้นเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค 2. ผู้ส่งมอบวัตถุดิบ คือผู้ที่ทำการเตรียมผลผลิตทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบก่อนจะส่งเข้ากระบวนการผลิตในโรงงานอาหาร เช่น โรงเชือดไก่ โรงฆ่าหมู โรงชำแหละเนื้อหมู สะพานปลา ผู้เก็บเกี่ยวและดูแลพืชผัก เนื่องจาก ผลผลิตทางเกษตร เป็นวัตถุที่สามารถเสื่อมสภาพ และเน่าเสียได้ ถ้าไม่มีการจัดการที่ดี ผู้ส่งมอบวัตถุดิบบางราย จึงใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้วัตถุดิบเหล่านั้นคงสภาพได้ เช่น ใช้ฟอร์มาลินแช่เพื่อคงสภาพ ดังนั้นผู้ส่งมอบวัตถุดิบเหล่านี้ควรทำ GMP เพื่อให้มีวิธีการจัดการที่ดีอย่างถูกต้องและได้วัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ผู้ส่งมอบวัตถุดิบยังหมายรวมถึง ผู้ส่งมอบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สัมผัสอาหารโดยตรงด้วย 3. โรงงานผลิตอาหาร เป็นผู้ทำหน้าที่แปรรูปอาหารให้ผู้บริโภค ซึ่งกระบวนการผลิตมีหลายขั้นตอน และทุก ขั้นตอนสามารถทำให้อาหารเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคได้ เช่น กระบวนการให้ความร้อนที่ไม่มีหลักเกณฑ์ และวิธีการควบคุมที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้บริโภคเกิดอาหารเป็นพิษได้ 4. การกระจายสินค้า ผลิตภัณฑ์อาหารมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีสภาวะการจัดเก็บ และขนส่งที่แตกต่างกัน เช่นการขนส่งที่อุณหภูมิห้อง อุณหภูมิแช่เย็น อุณหภูมิแช่แข็ง และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นภาชนะบรรจุของผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด ก็มีโอกาสเสียหายได้ง่าย ถ้าไม่มีการจัดการที่ดีก็จะทำให้อาหารนั้นไม่ปลอดภัยได้ เช่น อาหารประเภทที่ต้องแช่เย็น แต่รถขนส่งหรือห้องจัดเก็บ มีอุณหภูมิห้อง จะทำให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโต เกิดอาหารเป็นพิษต่อ ผู้บริโภคได้ หรือ ระหว่างขนส่ง ภาชนะบรรจุรั่วโดยไม่เห็น ทำให้เชื้อจุลินทรีย์มีโอกาสปนเปื้อนได้ 5. สถานที่จำหน่ายหรือเตรียมผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม เป็นต้น ผู้ให้บริการในสถานที่เหล่านี้ ควรจะมีการจัดการ GMP ในเรื่องความสะอาด อุณหภูมิสภาวะการจัดเก็บ วิธีการเตรียมผลิตภัณฑ์เพื่อบริโภคอย่างถูกสุขลักษณะ กล่าวโดยสรุปคือ ในห่วงโซ่อาหารทุกขั้นตอนควรทำ GMP ความสำคัญของ GMP และ HACCP GMP เริ่มต้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้กำหนดเป็น กฎหมายหลักเกณฑ์ว่าด้วย สุขลักษณะทั่วไปในการผลิตอาหารทุกประเภท จากนั้นก็มีกฎหมาย GMP สำหรับการผลิตอาหารประเภทต่างๆ ตามมา ในปี ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) ได้ประกาศกฎหมาย GMP สำหรับการผลิตอาหารกระป๋องที่มีความเป็นกรดต่ำ (Low Acid Canned Foods; LACF) เนื่องจากอาหารประเภทนี้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารพิษที่สร้างโดยเชื้อ Clostridium botulinum หากวิธีการผลิตไม่เหมาะสม แนวคิดการประกันคุณภาพด้านความปลอดภัยของอาหารโดยใช้ GMP ได้มีการผลักดันเข้าสู่โครงการมาตรฐานอาหารของ FAO/WHO ซึ่งรับผิดชอบการจัดทำมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ที่เรียกว่า Codex Alimentarius ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลว่า "Food Code" หรือ "Food Law" Codex ได้ อ้างอิง GMP ว่าด้วยสุขลักษณะทั่วไปของสหรัฐอเมริกา และรวบรวมข้อคิดเห็นจากประเทศสมาชิก จัดทำเป็นข้อแนะนำระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับหลักการทั่วไปว่าด้วยสุขลักษณะอาหาร (Recommended International Code of Practice: General Principles of Food Hygiene) และยังได้กำหนดวิธีปฏิบัติด้านสุขลักษณะ (Code of Hygienic Practice) เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารประเภทต่างไว้ด้วย นอกจากนี้ Codex ยังได้จัดทำข้อแนะนำ การใช้ ระบบการวิเคราะห์อันตรายและ จุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (Hazard Analysis and Critical Control Point; HACCP) เป็นภาคผนวก หรือ Annex ใน General Principles of Food Hygiene และผ่านการรับรองจากคณะกรรมาธิการของ Codex (CAC) เมื่อเดือนมิถุนายน 1997 (พ.ศ. 2540) Codex ได้แนะนำไว้อย่างชัดเจนว่า การจัดทำระบบ HACCP ให้ได้ผลดี จำเป็นต้องมีการควบคุมสุขลักษณะที่ดี และมีประสิทธิภาพ และขอให้ใช้ข้อแนะนำการใช้ระบบ HACCP ควบคู่กับหลักการทั่วไปว่าด้วยสุขลักษณะอาหารของ Codex ด้วย องค์การการค้าโลก (World Trade Organization; WTO) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ เมษายน 1994 (พ.ศ. 2537) ได้มีการประชุมเกี่ยวการค้าเสรีของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรกับประเทศสมาชิก คณะกรรมการ Codex ได้มีข้อเสนอความตกลงว่าด้วยการประยุกต์ใช้ มาตรการสุขอนามัยและ สุขอนามัยพืช (Agreement on the Application of Sanitary and Phytosanitary Measures; SPS) และความตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Agreement on the Technical Barriers to Trade; TBT) ข้อตกลง SPS มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ชีวิต และสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช และป้องกันไม่ให้มีการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ที่ไม่เป็นธรรม ส่วนข้อตกลง TBT มี วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการนำข้อกำหนดทางเทคนิคระดับชาติ หรือระดับภูมิภาค หรือมาตรฐานทั่วไปมาเป็นข้อกีดกันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งข้อตกลง TBT นี้ครอบคลุมมาตรฐานทุกชนิดรวมทั้งข้อกำหนดทางด้านสุขอนามัยของอาหาร จากข้อตกลง SPS และ TBT ทำให้มาตรฐาน Codex ถูกอ้างอิง และใช้เป็นเกณฑ์ในด้านความปลอดภัยของอาหารต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค และสามารถใช้อ้างอิงกรณีเกิดข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ทำให้มาตรฐาน Codex มีความสำคัญต่อการค้า ผลิตผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์อาหาร การจัดการด้านความปลอดภัยของอาหารโดยดำเนินการตาม หลักการทั่วไปว่าด้วยสุขลักษณะอาหาร และข้อแนะนำการใช้ระบบ HACCP ของ Codex จึงมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศแรกที่ประกาศให้ HACCP เป็นกฎหมายบังคับ โดยให้นำระบบ HACCP ไปใช้ในการควบคุมการผลิต สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ (Fish and Fishery Products) มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ในขณะที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (US Department of Agriculture; USDA) โดย Food Safety and Inspection Service; FSIS ได้ประกาศให้กฎหมาย Pathogen Reduction ; HACCP เมื่อ 27 มกราคม ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ให้โรงงานผลิต ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์ไข่ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานขนาดเล็กหรือใหญ่ ต้องมีการจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานทางด้านสุขาภิบาล (Sanitation Standard Operating Procedures ; SSOPs) เป็นเอกสารและนำไปปฏิบัติ และกำหนดให้โรงฆ่าสัตว์ทุกโรงต้องตรวจเช็คเชื้อ Escherichia coli สำหรับการบังคับใช้ ระบบ HACCP จะมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันตามขนาดของโรงงาน เล็ก กลาง และ ใหญ่ ระยะสุดท้ายคือสำหรับโรงงาน ขนาดเล็ก มีผลบังคับ 25 มกราคม 2000 โดยต้องมีมาตรฐาน การปฏิบัติงานเพื่อลดปัญหาจากเชื้อ Salmonella ล่าสุด USFDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) ประกาศให้ใช้ HACCP ในการควบคุมการผลิตน้ำผัก และน้ำผลไม้ มีผลบังคับใช้ วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) โดยขณะนี้มีข้อกำหนดบังคับกับน้ำผักและผลไม้ที่ไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์หรือกระบวนการที่ใกล้เคียงกันต้องระบุคำเตือนอย่างชัดเจนที่ฉลากว่า " เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ดังนั้นอาจมีเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) แก่เด็ก คนชราและผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ" คณะกรรมาธิการประชาคมยุโรป หรือ EU ได้ระบุให้มีการใช้ระบบ HACCP ในหัวข้อเรื่อง Hygiene on Food Stuff ใน Council Directive เมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2539 กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารทุกชนิดในทุกระดับของตลาด ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงระดับขายปลีก ในสหภาพยุโรปต้องนำระบบ HACCP ไปประยุกต์ใช้ในการควบคุมการผลิตอาหาร ดังนั้น ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตภายใน และนำเข้าสู่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จำเป็นต้องผลิตภายใต้การควบคุมด้วยระบบ HACCP สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าสู่ประเทศสมาชิก จะให้เป็นความรับผิดชอบของผู้นำเข้าที่จะต้องดูแลสินค้าที่นำเข้าให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภค อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสหภาพยุโรป ก็ยังเกิดปัญหาต่างๆ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย โรควัวบ้า หรือพบสารไดออกซินในผลิตภัณฑ์นม ทำให้ EU ประชุมร่วมกันและกำหนดนโยบายสมุดปกขาว (White Paper) ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตผลทางการเกษตรและ ผลิตภัณฑ์อาหาร โดยแนะนำให้นำระบบ HACCP ไปใช้ควบคุมการผลิตตั้งแต่ ที่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหารของ ผู้บริโภค (From Farm to Table) ภายใน ปี 2545 แต่ก่อนที่จะได้มีประกาศใช้อย่างสมบูรณ์ สหภาพ ยุโรปได้เริ่มประกาศจากอาหารสัตว์ โดยกำหนดให้มันสำปะหลังอัดเม็ดที่นำเข้า ต้องมีการทำ GMP ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2544 เนื่องจากมันสำปะหลังอัดเม็ด เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหาร และประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังอัดเม็ดไปยังประเทศ นิวซีแลนด์รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ประเทศญี่ปุ่น ประกาศใช้ระบบ HACCP เพื่อควบคุมการผลิต นม และผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ซูริมิ โดยเป็นมาตรการสมัครใจในบทแก้ไขของ Food Sanitation Law สำหรับประเทศเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ก็ได้ประกาศให้มีการใช้ระบบ HACCP เป็นมาตรการบังคับในการควบคุมการผลิต ไส้กรอก แฮม และเนื้อสัตว์ที่นำเข้า สำหรับประเทศไทย โดยคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขกำลังจะประกาศให้ GMP ว่าด้วยสุขลักษณะทั่วไปเป็นกฎหมายบังคับ ภายในเดือน กรกฎาคม 2544 โดยบังคับใช้กับอาหาร 57 ประเภท และกำลังจะมี GMP เฉพาะผลิตภัณฑ์ ออกมาเรื่อยๆ เช่น GMP น้ำดื่ม เป็นต้น การประกาศเป็นกฎหมายมีผลให้สถานประกอบการรายใหม่ ต้องปฏิบัติตามทันที สำหรับผู้ประกอบการรายเก่า ต้องปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นไปตามกฎหมายภายใน 2 ปี และ อย. ยังได้แนะนำให้สถานประกอบการนำระบบ HACCP ไปใช้ในการควบคุมการผลิต นอกจากนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 7000-2540) เรื่องระบบการวิเคราะห์อันตราย และจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมใน การผลิตอาหารและคำแนะนำในการนำไปใช้ โดยรับเอกสาร Codex Alimentarius Supplement to Volume 1B_1997; Annex to CAC/RCP-1 (1969) , Rev. 3 (1997) Hazard Analysis and Critical Control Point (HACCP) System And Guidelines For Its Application มาใช้ในระดับเหมือนกันทุกประการ บทบาทของผู้บริหารอุตสาหกรรมอาหารไทยต่อการจัดทำระบบ GMP และ HACCP เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย มักเริ่มต้นมาจาก การผลิตขนาดเล็ก บางรายก็ขยายกิจการขึ้นมาจนเป็นโรงงาน ดังนั้นจึงอาจจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง กระบวนการ ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ของ GMP และ HACCP ผู้บริหารจึงมีหน้าที่พิจารณาตัดสินใจ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น รวมถึงงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ นอกจากนี้ยังต้องให้การสนับสนุนการจัดทำระบบ HACCP ของทีมงาน เช่นส่งเสริมการฝึกอบรม ร่วมพิจารณาแก้ไข้ปัญหา และในฐานะผู้นำ องค์กร ควรผลักดันให้พนักงานทุกคน ตระหนักถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค ผู้บริหารจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีศักยภาพแข่งขันกับตลาดโลกได้ และถึงแม้จะไม่ได้ส่งออก ก็เป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ โดยสรุปแล้ว GMP เป็นการจัดการด้านสุขลักษณะขั้นพื้นฐานที่สำคัญในการจัดทำระบบ HACCP องค์กรจึงควรมีการจัดทำ GMP ก่อน โดยอาจจะจัดทำเอกสารมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร ในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. การควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคล (personal hygiene) 2. การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค (pest control) 3. การควบคุมระบบน้ำใช้ น้ำแข็ง และไอน้ำ 4. การควบคุมความสะอาด ของอุปกรณ์และสถานที่การผลิต 5. การควบคุมแก้วและพลาสติกแข็ง 6. การควบคุมสารเคมี 7. การชี้บ่งและสอบกลับผลิตภัณฑ์ 8. การกักและปล่อยผลิตภัณฑ์ 9. การเรียกผลิตภัณฑ์คืน 10. การสอบเทียบอุปกรณ์และเครื่องมือวัด 11. การควบคุมการขนส่ง 12. การบำรุงรักษา เครื่องจักร และอุปกรณ์ 13. การกำจัดขยะ 14. การจัดเก็บบันทึก เป็นต้น
Product Recall – Are you Ready to React?; การเรียกคืนผลิตภัณฑ์ - คุณเตรียมพร้อมในการรับมือแค่ไหน ?
In recent years food safety incidents and food scares have been increasingly reported by worldwide news organizations and this has reduced consumer confidence. Product recalls by food suppliers in Asia are now more common than ever before and consumers are more aware. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีข่าวจากทั่วทุกมุมโลกในเรื่องอุบัติการณ์ที่เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในอาหาร ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลและไม่มั่นใจในการบริโภค The Melamine milk contamination food scares in China where 6 people died and 294,000 people were sick and the Salmonella contaminated peanuts in the USA where 9 people died and 700 were sick have demonstrated the prime importance of protecting consumers and company brand image. Both production companies, the Sanlu milk company in China and the Peanut Corporation of America, are now bankrupt. Primarily due to the general public thinking that their delayed product recalls showed a lack of care and this destroyed the brands. จากกรณีที่เกิดการปนเปื้อนของสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นมผงจากประเทศจีน ซึ่งได้คร่าชีวิตเด็กทารก6 รายล้มป่วยอีก 294 000 ราย และอีกกรณีที่เกิดจากการบริโภคถั่วลิสงที่มีเชื้อ Salmonella ปนเปื้อน มีประชากรเสียชีวิต 9 ราย และล้มป่วยอีกจำนวน 700 ราย เกิดขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นข่าวครึกโครมในอุตสาหกรรมอาหารที่กระตุ้นให้สังคมโลกหันมาใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่เรารับประทานกัน จากทั้งสองอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ผลิตไม่มีมาตรการจัดการและการแก้ปัญหาวิกฤตที่ฉับพลัน ทำให้สูญเสียภาพลักษณ์ไม่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคในตราสินค้านั้นๆ ส่งผลให้สินค้าไม่สามารถจำหน่ายได้ ผู้ผลิตตกอยู่ในสภาพขาดทุน และล้มละลายในที่สุด Reacting quickly in the event of a food safety incident is extremely important and will be seen as a responsible action by consumers. The key to handling product recalls is having developed and tested recall procedures in place that enable informed decisions to be made and prompt decisive actions to be taken. มาตรการจัดการอุบัติการณ์และการแก้ปัญหาวิกฤตที่ฉับพลันนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตใส่ใจในการปกป้องลูกค้า ปกป้องผู้บริโภค ดังนั้นผู้ผลิตต้องกำหนดแผนการจัดการอุบัติการณ์และการแก้ปัญหาวิกฤตอย่างชัดเจน ฉับไว มีหลักการที่เป็นระบบ Do you know what to do in the event of a food safety incident? Have you developed and tested your product recall procedures? ถ้าคุณคือผู้ผลิตอาหาร และต้องเพชิญกับอุบัติการณ์ที่เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในอาหาร คุณจะทำอย่างไร ? คุณเคยคิด และหาทางออกไว้หรือยัง? How to Undertake a Product Recall วิธีจัดการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ 1. Don't Panic - you need to act quickly to demonstrate that you care about your customers, but there is no point taking action before you know the facts. Call your team together for a crisis meeting, including the technical and operations people who will know the details. Get all the facts out into the open in an atmosphere of 'no blame'. Keep records of the meeting to demonstrate that you took immediate and effective action.1. อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ - ถึงแม้ผู้ผลิตต้องแก้ปัญหาวิกฤตอย่างฉับพลันเพื่อแสดงความใส่ใจต่อผู้บริโภค แต่คุณต้องอย่าลืมวิเคราะห์ หาเหตุที่เกิดให้ชัดเจนเสียก่อน คุณต้องเรียกทีมงาน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบ มาประชุมร่วมกันอย่างรวดเร็วที่สุด ช่วยกันหาสาเหตุ หลังจากนั้นต้องปฏิบัติการตามขั้นตอน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น 2. Quantify the Risk - use your traceability system to identify the defective batches and the geographical spread. How far down the supply chain has the product gone? The risk assessment needs to be quick - minutes not days.2. แผนปฏิบัติเพื่อการเรียกคืนสินค้าที่มีความเสี่ยง - วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดควรมีการระบุรุ่น และจัดทำระบบเรียกคืน เพื่อให้มีการสืบค้นผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์และเรียกผลิตภัณฑ์นั้นคืนกลับมาในกรณีที่จำเป็นต้องแก้ไขผลิตภัณฑ์ การสืบค้นผลิตภัณฑ์คือ การที่สามารถระบุสิ่งที่ใช้ในการผลิต และระบุว่าสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด และการที่สามารถระบุว่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายนำไปจำหน่ายที่ใด การประเมินความเสี่ยงต้องเร็ว ไม่ใช้เวลาเป็นวัน แต่เป็นนาที 3. Take Prompt Action to Control the Risks - any delay now will send a clear message to your customers that you do not care about their health. If appropriate, take immediate action to stop production. Quarantine products from the defective batch in your stores and your goods-out bays. Inform the businesses you have supplied to and ask them to hold all products pending collection. Organise urgent collection of the defective products and check that you retrieve the same quantity of product that was distributed.3. การควบคุมสินค้าที่มีความเสี่ยง - ความล่าช้าในการจัดการควบคุมสินค้าที่มีความเสี่ยง แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจต่อผู้บริโภค การจัดการต้องรวดเร็วและต้องมีการแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการขยายวงกว้างของปัญหา เมื่อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยถูกเก็บออกจากเส้นทางการกระจายสินค้าและนำกลับมาที่โรงงาน หรือพื้นที่กักกัน ก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดการกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยการระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่เรียกคืน (ชื่อวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ รหัสผลิตภัณฑ์ วันที่ผลิต จำนวนที่ผลิต เป็นต้น) 4. Consider a Public Product Recall - if the effected products have reached the retail outlets and have been sold to customers, then you need to do a public product recall. Prepare a Press Release that states the key facts of the product recall in a factual way but not in a manner that creates alarm. Provide clear details of product description, code numbers and dates. Give a phone number so people can call for more details. Inform the appropriate Government agencies. Send the press release to local papers in the relevant areas and also to your customer's retail outlets. Ask the retail outlets to display the Press Release in prominent places. 4.การแจ้งให้ทราบถึงการเรียกคืนสินค้าที่มีความเสี่ยง ในกรณีที่สินค้าที่มีความเสี่ยงกระจายสู่มือผู้บริโภคแล้ว สิ่งที่ผู้ผลิตต้องจัดการโดยเร็ว คือการแจ้งให้ทราบถึงการเรียกคืนสินค้าที่มีความเสี่ยง ผ่านสื่อสาธารณะ การแจ้งให้ทราบต้องมีรายละเอียดให้ลูกค้าอย่างเหมาะสม เช่น สาเหตุของการเรียกคืน ผลิตภัณฑ์ที่เรียกคืน (ชื่อวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ รหัสผลิตภัณฑ์ วันที่ผลิต จำนวนที่ผลิต) รวมถึงต้องมีรายชื่อผู้รับผิดชอบซึ่งอยู่ในคณะทำงานเรียกคืนผลิตภัณฑ์ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อสอบถามได้ นอกจากแจ้งผ่านสื่อสาธารณะแล้ว ผู้ผลิตควรต้องติดต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานด้านกฎหมาย ตำรวจ และห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 5. Undertake a Review - use the results of the review to develop your product recall procedures and improve your systems. Have you taken sufficient action to prevent a recurrence of the problem? Did your traceability system and communication plan work? What was the response of your customers? In the event of a food safety incident and a product recall being required, you will be thankful to have product recall procedures already developed. International food safety supplier audit standards (such as BRC, SQF, IFS, FSSC 22000) understand the benefits of product recall procedures and set out requirements for their development and routine testing. Even the most diligent of food businesses can have a food safety problem that only comes to light after the products have been dispatched. Having clear, detailed product recall procedures in place enables prompt, informed actions to be taken and this the key to protecting brand image and consumer health. 5. การทวนสอบผล - ใช้การทวนสอบผลเพื่อหาความบกพร่อง และการปรับปรุง พัฒนาระบบเรียกคืนสินค้า ควรตั้งคำถามถึงขบวนการเรียกคืนสินค้าที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร มีประสิทธิภาพดีเพียงพอหรือไม่? ได้มีแผนการรองรับ และป้องกันมิให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกหรือไม่? ระบบทวนสอบกลับ และระบบการสื่อสารทั้งภายในและนอกองค์กร มีประสิทธิภาพหรือไม่ ? การจัดการรับผิดชอบต่อลูกค้ากับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร? ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสที่อุบัติการณ์เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในอาหาร และมีการเรียกคืนของสินค้าเกิดขึ้นได้ แต่ผู้ผลิตที่เตรียมพร้อมก็มีระบบอาหารปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากลรองรับในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐาน HACCP, BRC, SQF, IFS, หรือ FSSC 22000 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสินค้า ที่ให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ แหล่งที่มาของส่วนผสมต่างๆ การรับสินค้า การผลิตสินค้า การบริหารคุณภาพ การขนส่งและการเก็บสินค้า การบรรจุภัณฑ์ และทุกขั้นตอน ต้องมีลงบันทึก ทำรายงานผลเพื่อให้แน่ใจว่า กระบวนการทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารจะมีความปลอดภัย ผู้ผลิตทุกรายควรตระหนัก และใส่ใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่หากเมื่อมีปัญหาความไม่ปลอดภัยในอาหาร ผู้ผลิตอาหารต้องมีระบบการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและฉับไว เพื่อลดความเสี่ยงและการเพิ่มขึ้นของปัญหา รวมถึงแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตมีระบบทีมีประสิทธิภาพที่ตรงตามข้อกำหนดกฎหมาย มาตรฐานต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพ และรักษาภาพลักษณ์ ตราสินค้าให้เป็นที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจในระยะยาว
การประกันคุณภาพด้านความปลอดภัยของอาหาร: กลุ่มผลิตภัณฑ์
Quality assurance in food safety: meet the team Quality assurance is important in all industries, but when it comes to food safety it’s important on several levels.As Henry Ford famously said, “Quality means doing it right when no one is looking.” We suspect he’d probably agree that doing it right is important when the whole world is looking, too. As food safety becomes more prominent in the news and on social media, the role of quality assurance has increasingly come under the spotlight. That’s why quality assurance teams in the lab and using the right products are so important. April Schumacher and Aubrey Poling work in quality assurance for 3M’s food safety products, including 3M™ Petrifilm™ Plates both familiar with the attention that goes into ensuring the quality of products at every stage, meeting safety and regulatory requirements, to ensure their customers’ quality assurance departments have what they need to do their jobs. April and Aubrey know that food manufacturers are looking for the most productive solutions. Quality assurance departments also feel the need to show their value by preventing problems to ensure the food products are safe and feature the quality consumers expect. That’s why they love bringing solutions that save time and are easy to use for everyone in the labs. Journey to food safety and quality assurance “I like finding a solution to a problem – using data and science to find the answer and make the right choice,” says Aubrey, a quality engineer in 3M’s Food Safety Department. Aubrey was pursuing a degree in genetics at the University of Wisconsin – Madison when she realized how much she enjoyed her microbiology classes and wanted to pursue that area for her career. She started her career working in a lab that tests food from manufacturers, specifically for qualities including fats and carbohydrates. She later moved to Minnesota for a job testing food samples for pathogens. “That’s how I got to know 3M products – as a customer,” she says. When Aubrey heard that 3M Food Safety had a job opening in the quality department, she was excited to make the move because she was familiar with the quality of the 3M product line. April works with Aubrey on the 3M Food Safety Quality Assurance team. She has always been interested indisease and human health, so she studied bacteriology at the University of Wisconsin – Madison and got her Ph.D. in molecular biology from the University of Minnesota Twin Cities. “I was looking for ways to have a positive impact on human health,” April says. After some time doing academic post-doctoral work, she was ready for a change. “I was looking to have a more direct impact,” she says. “I like 3M’s culture and mission of science improving lives and knowing that the products I’m working on can have a positive impact right away.” April works on ensuring the quality of the products manufactured by 3M and making sure that standards are met. If there are any updates to regulations, AOAC, or ISO standards, she helps update processes to ensure customers receive the product that they expect. Helping to reduce the margin of error One of Aubrey and April’s top tips for quality assurance labs in food processing? Look for methods that decrease the opportunity for mistakes. That’s what they love about 3M™ Petrifilm™ Plates, which are easier to use than traditional agar methods. Additionally, the plates are stable and consistent from lot to lot which lessens the need to investigate variability in test results. The plates test a wide range of microorganisms such as E. coli, Listeria, yeasts, molds, and Staphylococcus. They also save time – a study of 274 U.S. food-processing plants found that 3.6 hours of time was saved per day by technicians when they used 3M™ Petrifilm™ Plates instead of agar. And the plates give faster results – technicians can get answers in about half the time. There are fewer steps than agar methods, so rather than preparing petri dishes and agar, the ready-to-use plates just require technicians toinoculate, incubate and interpret results. The results are also easy to understand because they use indicator dyes to facilitate colony counting. “Knowing that our products are clear makes the lab employee’s job easier,” says Aubrey. “I want to help them make the right decision. I don’t want them to have to second guess.” April points out that working in quality can be hard. “But it’s important you want to have solid data to make your case.” “Each customer has their own needs,” she says. “We have a lot of products for a lot of needs. Understanding those needs and picking the right products is almost as critical as the test itself.” She points out that 3M has a lot of solutions to help food manufacturers test products quickly. REQUEST A DEMO Contact Detail: 3M Food Safety Department 3M Thailand Limited 159 Asokemontri Rd., Klongtoey Nue, Wattana, Bangkok 10110 | Thailand Tel: 0 2260 8577, M: 098-582 4428 Ms. Narisara Wanigorn E-Mail: nwanigorn@mmm.com Ms. Masinee Likhitrattanapaiboon E-Mail: maneelik@mmm.com Ms. Narunras (Kavisra) BhuyothinE-Mail: kbhuyothin@mmm.com การประกันคุณภาพด้านความปลอดภัยของอาหาร: พบกับทีม การประกันคุณภาพมีความสำคัญในทุกอุตสาหกรรม แต่เมื่อกล่าวถึงความปลอดภัยของอาหาร ความสำคัญมีหลายระดับ ดังที่ Henry Ford กล่าวประโยคอันโด่งดัง “คุณภาพหมายถึงการทำให้ถูกต้องแม้ไม่มีใครมอง” เราคิดว่า เขาคงเห็นด้วยว่าการทำให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญแม้คนทั้งโลกกำลัง มองมาเช่นกัน เมื่อความปลอดภัยของอาหารมีความโดดเด่นมากขึ้นทั้งในข่าวและในสื่อโซเชียล บทบาทของการประกันคุณภาพจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่มีทีมประกันคุณภาพในห้องปฏิบัติการ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ เหมาะสมมีความสำคัญมาก April Schumacher และ Aubrey Poling ทำงานด้านประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม รวมถึงแผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูป 3M™ Petrifilm™ Plates ทั้งคู่คุ้นเคยและมีความตั้งใจที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพในทุกๆ ขั้นตอน ตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและข้อบังคับทางด้านกฏหมาย ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของแผนกประกันคุณภาพ April และ Aubrey ตระหนักว่าผู้ผลิตอาหารกำลังมองหานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แผนกประกันคุณภาพก็รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องแสดงคุณค่าของพวกเขาโดยการป้องกันการเกิดปัญหา เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์อาหารมีความปลอดภัย และมีคุณภาพตามที่ผู้บริโภคคาดหวัง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาถึงชอบนำเสนอนวัตกรรมที่ประหยัดเวลา และใช้งานง่ายสำหรับทุกคนในห้องปฏิบัติการ หนทางสู่ความปลอดภัยของอาหารและการประกันคุณภาพ “ฉันชอบค้นหาวิธีแก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลและวิทยาศาสตร์เพื่อค้นหาคำตอบ และเลือกสิ่งที่ถูกต้อง”Aubrey, วิศวกรด้านคุณภาพ ฝ่ายความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม กล่าว ในขณะที่ Aubrey กำลังศึกษาด้านพันธุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมืองแมดิสัน เธอรู้ว่าเธอสนุกกับวิชาจุลชีววิทยา และต้องการที่จะประกอบอาชีพในสาขาวิชานั้นมากแค่ไหน เธอเริ่มต้นอาชีพการทำงานในห้องปฏิบัติการซึ่งทำการทดสอบอาหารจากผู้ผลิตในด้านคุณภาพโดยเฉพาะ รวมถึงไขมันและคาร์โบไฮเดรต หลังจากนั้นเธอย้ายไปมินเนโซตาเพื่อทำงานด้านการทดสอบเชื้อก่อโรคในตัวอย่างอาหาร “ฉันรู้จักผลิตภัณฑ์ 3เอ็ม ด้วยเหตุผลนั้น คือรู้จักในฐานะลูกค้า” เธอกล่าว เมื่อ Aubreyได้ยินว่าความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม เปิดรับสมัครบุคคลเข้าทำงานในฝ่ายคุณภาพ เธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะย้ายงานเพราะเธอคุ้นเคยกับคุณภาพของกลุ่มผลิตภัณฑ์ 3เอ็ม อยู่แล้ว April ทำงานร่วมกับ Aubreyในทีมการประกันคุณภาพความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม เธอมีความสนใจเรื่องโรคและสุขภาพของมนุษย์มาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงศึกษาวิชาแบคทีเรียวิทยาที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมืองแมดิสัน และจบปริญญาเอกด้านชีววิทยาโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา ทวินซิตีส์ “ฉันกำลังมองหาวิธีที่จะมีผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพของมนุษย์” April กล่าว หลังจากใช้เวลาในการทำงานด้านวิชาการหลังจบการศึกษาปริญญาเอก เธอก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง “ฉันกำลังมองสิ่งที่จะมีผลกระทบโดยตรงมากขึ้น” เธอกล่าว “ฉันชอบวัฒนธรรมองค์กรและพันธกิจด้านวิทยาศาสตร์ของ 3เอ็ม ที่ช่วยปรับปรุงพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ นอกจากนี้ฉันยังรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ฉันกำลังทำอยู่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ในทันที” April ทำงานเพื่อรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดย 3เอ็ม และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐาน หากมีการปรับปรุงใดๆ เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับ มาตรฐาน AOAC หรือ ISO เธอจะช่วยปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ตามที่คาดหวังช่วยลดขอบข่ายของข้อผิดพลาด หนึ่งในเคล็ดลับยอดนิยมของ Aubrey และ April สำหรับห้องปฏิบัติการประกันคุณภาพในกระบวนการแปรรูปอาหารคืออะไร ค้นหาวิธีการที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบเกี่ยวกับแผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูป 3M™ Petrifilm™ Plates ซึ่งใช้ง่ายกว่าวิธีการทดสอบด้วยวิธีแบบดั้งเดิมยิ่งไปกว่านั้นแผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปยังมีเสถียรภาพและมีความสม่ำเสมอในการผลิตจากล็อตสู่ล็อต ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการตรวจสอบความแปรปรวนของผลการทดสอบ แผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปสามารถทดสอบจุลินทรีย์ได้หลากหลายชนิด เช่น เชื้ออี โคไล เชื้อลิสทีเรีย ยีสต์ รา และเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส แผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปช่วยประหยัดเวลา จากการศึกษาในโรงงานอาหารแปรรูปจำนวน 274 แห่งในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ทดสอบประหยัดเวลาถึง 3.6 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อใช้ แผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูป 3M™ Petrifilm™ Plates แทนวิธีแบบดั้งเดิม และแผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า ผู้ทดสอบสามารถทราบผลภายในเวลาเพียงครึ่งหนึ่งของการทดสอบแบบดั้งเดิม มีขั้นตอนที่น้อยกว่าวิธีแบบดั้งเดิม แทนที่จะต้องเตรียมจานอาหารเพาะเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อ ผู้ทดสอบเพียงแค่ หยดตัวอย่าง บ่มเพาะเชื้อ และ อ่านผล จากแผ่นอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปพร้อมใช้งานเท่านั้น ผลการทดสอบยังเข้าใจได้ง่าย เพราะใช้สีของสารบ่งชี้มาช่วยในการนับปริมาณจุลินทรีย์ “การรู้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีความชัดเจน ช่วยให้งานของพนักงานห้องปฏิบัติการง่ายขึ้น” Aubrey กล่าว “ฉันอยากช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง” April ชี้ให้เห็นว่าการทำงานด้านคุณภาพนั้นอาจมีความยาก “สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ประกอบการตัดสินใจของคุณ” “ลูกค้าแต่ละคนมีความต้องการของตัวเอง" เธอกล่าว “เรามีผลิตภัณฑ์จำนวนมากสำหรับทุกความต้องการ การทำความเข้าใจความต้องการเหล่านั้นและการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมมีความสำคัญเช่นเดียวกับการทดสอบ เธอชี้ให้เห็นว่า 3เอ็ม มีวิธีการมากมายที่จะช่วยให้ผู้ผลิตอาหารทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว ติดต่อเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมว่านวัตกรรมความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม ช่วยคุณได้อย่างไร สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ แผนกผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด ชั้น 12 อาคารเสริมมิตรทาวเวอร์ 159 ถนนอโศกมนตรี แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์: 0 2260 8577, 098-582 4428 คุณนริสรา วานิกร อีเมล์: nwanigorn@mmm.com คุณเมสิณี ลิขิตรัตนไพบูลย์ อีเมล์: maneelik@mmm.com คุณณรัณรัชต์ ภู่โยธิน อีเมล์: kbhuyothin@mmm.com
3 ขั้นตอนสำคัญสำหรับการจัดทำแผนการควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
3 Key Steps for Establishing an Effective Food Allergen Control Plan With allergies becoming an increasing health problem globally, the need to have an allergen control plan has never been more critical. Do you know where your allergen control plan is?The need for food manufacturers to have a clearly defined allergen control plan in place has never been more essential. Today, as food allergies are a growing health problem around the world to both children and adults, control measures to prevent food allergenic reactions simply must be established and enforced within the food manufacturing environment. How did we arrive here? After all, it wasn’t that long ago that the approach to prevent an allergic reaction caused by a particular food relied on avoidance of the consumption of that food by reading product labels. Allergic individuals would merely rely on the information provided on the label to determine whether the ingredients include a food that may be a source of a potential allergen. That approach started to become more stringent in January 2006 when the Food Allergen Labeling and Consumer Protection Act (FALCPA) took effect in the United States. The law requires that food labels specifically and clearly declare the presence of what is commonly referred to as the Big 8 Food Allergens: Milk, egg, fish, crustacean shellfish, tree nuts, peanuts, wheat and soy. Outside the United States, the European Union, Canada, New Zealand, Japan and other countries have similar requirements for these and other known food allergens. Despite U.S. law now requiring the declaration of allergens on food labels, estimates of food recalls due to mislabeling is at more than 40% in the United States—alarming evidence for the need for a strong and structured allergen control plan. According to the USDA, the number of recalls due to undeclared allergens and ingredients considered a public concern increased from 13% in 2008 to 35% in 2012. The most common causes of recalls stem from changes in product formulation, changes in supplier’s ingredient formulation, regulatory inspections or consumer complaints. So, what should today’s food manufacturers do? They must declare any allergens in their food to consumers, and they should follow Good Manufacturing Practices (GMP) and keep ingredients segregated within the plant. However, with increased food demand, this is more challenging than ever. As more food and food varieties are produced, the practice of sharing lines for allergen-containing and allergen-free foods is now commonplace. If a company shares production lines within its plant, then it needs to take steps to minimize the risk of cross contact and the unintentional addition of allergens during food production. The FSMA final rule for Preventive Controls for Human Foods requires facilities to have a food safety plan in place that should consider a risk-based analysis of hazards and preventive controls to minimize or eliminate chemical, physical and biological hazards in the food supply chain. Within these preventive controls, food allergen controls should be in place as written and implemented procedures to control cross contact and ensure proper labeling. For food and beverage manufacturers looking to establish a food allergen control plan, there are three key steps: 1. Risk Assessment:Is there a chance that unintentional allergens could be present in the food or manufacturing equipment in your plant? Risk assessment involves a hazard analysis by a multifunctional team that includes members from such departments as manufacturing, quality, food safety, sanitation, research and development, and regulatory compliance. Risk assessment helps identify potential sources of food allergens and maps their path through each step of the manufacturing process. Once the path is identified, controls can be put in place in target areas such as reception and storage, scheduling of production runs, variations in production, equipment design and supply and cleaning materials. It is important to periodically review and reassess your risk assessment as new products, formulation changes or vendor changes may change production conditions. 2. Risk Management:Now that risks have been identified, they need to be managed. The key to successful risk management is developing work instructions and standard operating procedures that control the possibility of unintentional allergen contamination. These procedures and instructions include quality requirements for vendors’ ingredients, segregation, production controls, manufacturing scheduling, equipment and plant design, as well as cleaning and sanitation procedures. It is important to validate that these procedures and practices are effective using a science-based approach. In addition, these activities should be routinely reviewed and evaluated for effectiveness. A successful allergen control plan relies on continuous training, clear explanation of procedures and documentation of the existence and effectiveness of the plan. 3. Risk Communication:The next step after assessment and management is communication. If you have an allergenic food in your plant that could be unintentionally found in the finished food product, it is essential that this information appears on the food label. Risk assessment can help define the nature of the potential allergen. Is the final product manufactured from ingredients that contain allergens or is it manufactured on equipment that is in direct contact with allergenic ingredients? This analysis can ensure proper labeling, either in the food ingredients or as a precautionary allergen label (PAL). Ultimately, it is important to remember that food allergen control plans require management commitment to succeed. Continual communication and training increase the safety of manufactured products. Allergen control is but one of the many efforts to prevent and minimize foodborne illness in humans, but the development of and adherence to an effective allergen control plan will go far in protecting allergic consumers and reducing the food manufacturer’s risk to reputational and recall costs. REQUEST A DEMO Contact Detail: 3M Food Safety Department 3M Thailand Limited 159 Asokemontri Rd., Klongtoey Nue, Wattana, Bangkok 10110 | Thailand Tel: 0 2260 8577, M: 098-582 4428 Ms. Narisara Wanigorn E-Mail: nwanigorn@mmm.com Ms. Masinee Likhitrattanapaiboon E-Mail: maneelik@mmm.com Ms. Narunras (Kavisra) BhuyothinE-Mail: kbhuyothin@mmm.com 3 ขั้นตอนสำคัญสำหรับการจัดทำแผนการควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ โรคภูมิแพ้ได้กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ความจำเป็นที่จะต้องมีแผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้จึงมีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย คุณมีแผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้หรือยัง ความต้องการในการมีแผนที่ชัดเจนเพื่อควบคุมสารก่อภูมิแพ้ของผู้ผลิตอาหารจึงมีความจำเป็นยิ่งกว่าที่เคย ทุกวันนี้ เนื่องจากการแพ้อาหารเป็นปัญหาสุขภาพของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก จึงต้องมีการกำหนด และบังคับใช้มาตรการควบคุมสภาวะแวดล้อมในการผลิตอาหารเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้จากอาหาร เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้เองที่เราใช้วิธีการป้องกันปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหารบางชนิด โดยอาศัยการหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารดังกล่าวจากการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ บุคคลที่มีอาการแพ้ก็จะอาศัยข้อมูลที่ระบุบนฉลากเพื่อพิจารณาว่าในอาหารนั้นมีส่วนผสมที่อาจเป็นแหล่งของสารก่อภูมิแพ้หรือไม่ แนวทางดังกล่าวเริ่มมีความเข้มงวดขึ้นในเดือนมกราคม 2006 เมื่อพระราชบัญญัติการติดฉลากสารก่อภูมิแพ้ในอาหารและการคุ้มครองผู้บริโภค (FALCPA) มีผลบังคับใช้ในสหรัฐอเมริกา กฎหมายกำหนดให้ฉลากอาหารระบุอย่างเฉพาะเจาะจงและชัดเจนว่า มีอาหาร 8 ชนิดหลักที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเป็นตัวการในการก่อภูมิแพ้หรือไม่ ได้แก่ นม ไข่ ปลา สัตว์น้ำที่มีเปลือกหุ้ม นัทชนิดต่างๆ ถั่วลิสง ข้าวสาลี และ ถั่วเหลือง สำหรับประเทศอื่นที่นอกเหนือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป แคนาดา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ก็มีข้อกำหนดที่คล้ายคลึงกันสำหรับสารก่อภูมิแพ้ในอาหารเหล่านี้และสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ แม้ในปัจจุบันกฎหมายของสหรัฐอเมริกากำหนดให้ต้องระบุสารก่อภูมิแพ้บนฉลากอาหาร แต่ยังมีการเรียกคืนอาหาร เนื่องจากการติดฉลากผิดมากกว่า 40% ในสหรัฐอเมริกา หลักฐานที่น่าตกใจนี้นำไปสู่ความต้องการแผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับการออกแบบอย่างดีและมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลของ USDA พบว่าจำนวนการเรียกคืนเนื่องจากไม่มีการระบุสารก่อภูมิแพ้และส่วนผสม ถือเป็นข้อกังวลของสาธารณชนที่เพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2008 เป็น 35% ในปี 2012 สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเรียกคืนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสูตรผลิตภัณฑ์ การเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของผู้ผลิต การตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแล หรือการร้องเรียนของผู้บริโภค แล้วผู้ผลิตอาหารในปัจจุบันควรทำอย่างไร ผู้ผลิตอาหารจะต้องระบุสารก่อภูมิแพ้ใดๆ ในอาหารให้ผู้บริโภคทราบ และควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) และแยกส่วนผสมต่างๆ ที่อยู่ภายในโรงงานด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้น เรื่องนี้จึงท้าทายยิ่งกว่าที่เคย เมื่อมีการผลิตอาหารเพิ่มขึ้นและหลากหลายมากขึ้น จึงเป็นเรื่องธรรมดามากในปัจจุบันที่จะใช้สายการผลิตร่วมกันระหว่างอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ และอาหารที่ปลอดสารก่อภูมิแพ้ หากบริษัทใช้สายการผลิตร่วมกันภายในโรงงานของตน บริษัทจะต้องดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามสายการผลิต และการเพิ่มสารก่อภูมิแพ้โดยไม่ได้ตั้งใจในระหว่างการผลิตอาหาร สาระสำคัญล่าสุดของกฎหมายปฏิรูปความปลอดภัยสินค้าอาหารของสหรัฐฯ (FSMA) ในมาตรการควบคุมเชิงป้องกันสำหรับอาหารมนุษย์ กำหนดให้โรงงานต้องมีแผนความปลอดภัยของอาหารโดยพิจารณาจากการวิเคราะห์ตามความเสี่ยงของอันตรายและการควบคุมเชิงป้องกัน เพื่อลดหรือกำจัดอันตรายทั้ง ทางด้านเคมี กายภาพ และชีวภาพ ในห่วงโซ่อาหาร เราควรมีมาตรการควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในอาหารภายใต้มาตรการควบคุมเชิงป้องกันเหล่านี้เป็นลายลักษณ์อักษร และนำไปใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อควบคุมการปนเปื้อนข้ามสายการผลิต และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการติดฉลากอย่างถูกต้องและเหมาะสม 3 ขั้นตอนสำคัญในการกำหนดแผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในอาหารสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม มีดังนี้ 1. การประเมินความเสี่ยง: มีโอกาสที่จะมีสารก่อภูมิแพ้โดยไม่ได้ตั้งใจในอาหาร หรืออุปกรณ์การผลิตในโรงงานของคุณหรือไม่ การประเมินความเสี่ยงเป็นการวิเคราะห์อันตรายโดยทีมงานจากหลากหลายหน่วยงาน อันประกอบด้วยสมาชิกจากฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายผลิต ฝ่ายควบคุมคุณภาพ ฝ่ายความปลอดภัยของอาหาร ฝ่ายสุขาภิบาล ฝ่ายวิจัยและพัฒนา และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานที่กำกับดูแล การประเมินความเสี่ยงจะช่วยระบุแหล่งที่มาของสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร และสร้างแผนที่การเดินทางของสารดังกล่าวในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต เมื่อเราทราบเส้นทางของสารก่อภูมิแพ้ การควบคุมจะสามารถกระทำได้ในพื้นที่เป้าหมาย เช่น การรับ และการเก็บรักษา การกำหนดตารางการผลิต ความแปรผันของการผลิต การออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์ และการจัดหาและอุปกรณ์การทำความสะอาด คุณจะต้องทำการทบทวน และประเมินความเสี่ยงของคุณใหม่เป็นระยะๆ เช่น เมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงสูตร หรือมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่ายอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการผลิต 2. การบริหารความเสี่ยง: เมื่อมีความเสี่ยง ก็ต้องมีการจัดการกับความเสี่ยง กุญแจสำคัญในการจัดการความเสี่ยงที่ประสบความสำเร็จคือ การพัฒนาคำแนะนำในการทำงาน และขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานที่สามารถควบคุมความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนสารก่อภูมิแพ้โดยไม่ได้ตั้งใจ ขั้นตอนและคำแนะนำในการปฏิบัติงานเหล่านี้หมายรวมถึงข้อกำหนดด้านคุณภาพของวัตถุดิบจากผู้จำหน่าย การคัดแยก การควบคุมการผลิต การกำหนดตารางการผลิต การออกแบบและติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ รวมถึงกระบวนการทำความสะอาดและสุขาภิบาล ดังนั้นการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อทำการตรวจสอบว่าขั้นตอนและการปฏิบัติงานเหล่านี้มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ ยังควรทบทวนและประเมินผลกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีประสิทธิภาพ แผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ความชัดเจนของขั้นตอนและเอกสาร และประสิทธิผลของแผนที่ใช้ 3. การสื่อสารความเสี่ยง: ขั้นตอนต่อไปหลังจากการประเมินความเสี่ยง และการบริหารความเสี่ยง คือการสื่อสารความเสี่ยง หากคุณมีอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ในโรงงานของคุณ ซึ่งอาจพบโดยไม่ได้ตั้งใจในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป คุณจะต้องแจ้งข้อมูลนี้บนฉลากอาหาร การประเมินความเสี่ยงสามารถช่วยกำหนดลักษณะของสารก่อภูมิแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายผลิตจากส่วนผสมที่มีสารก่อภูมิแพ้ หรือผลิตบนอุปกรณ์ที่สัมผัสกับส่วนผสมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้โดยตรงหรือไม่ การวิเคราะห์นี้สามารถรับประกันการติดฉลากที่เหมาะสมทั้งในส่วนของส่วนประกอบของอาหาร หรือบนฉลากแจ้งเตือนอาการแพ้ (PAL) ท้ายที่สุดแล้ว โปรดระลึกไว้เสมอว่าสิ่งสำคัญที่สุดในแผนการควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร คือความมุ่งมั่นในการจัดการเพื่อความสำเร็จ การสื่อสารและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพิ่มความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ผลิต การควบคุมสารก่อภูมิแพ้เป็นหนึ่งในหลายๆ ความพยายามในการป้องกันและลดการเจ็บป่วยจากอาหารในมนุษย์ การพัฒนา และปฏิบัติตามแผนควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคที่แพ้อาหาร รวมถึงลดความเสี่ยงของผู้ผลิตอาหารในด้านของชื่อเสียง และค่าใช้จ่ายในการเรียกคืนผลิตภัณฑ์อีกด้วย ติดต่อเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมว่านวัตกรรมความปลอดภัยด้านอาหารของ 3เอ็ม ช่วยคุณได้อย่างไร สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ แผนกผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด ชั้น 12 อาคารเสริมมิตรทาวเวอร์ 159 ถนนอโศกมนตรี แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์: 0 2260 8577, 098-582 4428 คุณนริสรา วานิกร อีเมล์: nwanigorn@mmm.com คุณเมสิณี ลิขิตรัตนไพบูลย์ อีเมล์: maneelik@mmm.com คุณณรัณรัชต์ ภู่โยธิน อีเมล์: kbhuyothin@mmm.com
สมัครสมาชิก

สนับสนุนโดย / Supported By

  • บริษ้ท มาเรล ฟู้ดส์ ซิสเท็ม จำกัด จัดจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์การแปรรูปอาหาร เช่น ระบบการชั่งน้ำหนัก, การคัดขนาด, การแบ่ง, การตรวจสอบกระดูก และการประยุกต์ใช้ร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พร้อมกับบริการ ออกแบบ ติดตั้ง กรรมวิธีการแปรรูปทั้งกระบวนการ สำหรับ ผลิตภัณฑ์ ปลา เนื้อ และ สัตว์ปีก โดยมีวิศวกรบริการและ สำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเทพ มาเรล เป็นผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกของอุปกรณ์การแปรรูปอาหารที่ทันสมัย​​ครบวงจรทั้งระบบ สำหรับอุตสาหกรรม ปลา กุ้ง เนื้อ และสัตว์ปีก ต่างๆ เครื่องแปรรูปผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก Stork และ Townsend จาก Marel อยู่ในกลุ่มเครื่องที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในอุตสาหกรรม พร้อมกันนี้ สามารถบริการครบวงจรตั้งแต่ต้นสายการผลิตจนเสร็จเป็นสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยสำนักงานและบริษัทสาขามากกว่า 30 ประเทศ และ 100 เครือข่ายตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก ที่พร้อมทำงานเคียงข้างลูกค้าเพื่อขยายขอบเขตผลการแปรรูปอาหาร Marel Food Systems Limited. We are supply weighing, grading, portioning, bone detection and software applications as well as complete turn-key processing solutions for fish, meat and poultry. We have service engineer and office in Bangkok. Marel is the leading global provider of advanced food processing equipment, systems and services to the fish, meat, and poultry industries. Our brands - Marel, Stork Poultry Processing and Townsend Further Processing - are among the most respected in the industry. Together, we offer the convenience of a single source to meet our customers' every need. With offices and subsidiaries in over 30 countries and a global network of 100 agents and distributors, we work side-by-side with our customers to extend the boundaries of food processing performance.
  • We are well known for reliable, easy-to-use coding and marking solutions which have a low total cost of ownership, as well as for our strong customer service ethos. Developing new products and a continuous programme of improving existing coding and marking solutions also remain central to Linx's strategy. Coding and marking machines from Linx Printing Technologies Ltd provide a comprehensive solution for date and batch coding of products and packaging across manufacturing industries via a global network of distributors. In the industrial inkjet printer arena, our reputation is second to none. Our continuous ink jet printers, laser coders, outer case coders and thermal transfer overprinters are used on production lines in many manufacturing sectors, including the food, beverage, pharmaceutical, cosmetics, automotive and electronic industries, where product identification codes, batch numbers, use by dates and barcodes are needed. PTasia, THAILAND With more than 3,700 coding, marking, barcode, label applicator, filling, packing and sealing systems installed in THAILAND market. Our range is includes systems across a wide range of technologies. To select the most appropriate technology to suit our customers. An excellent customer service reputation, together with a reputation for reliability that sets standards in the industry, rounds off the PTAsia offering and provides customers with efficient and economical solutions of the high quality. Satisfyingcustomers inTHAILAND for 10 years Our 1,313 customers benefit from our many years of experience in the field, with our successful business model of continuous improvement. Our technical and service associates specialise in providing individual advice and finding the most efficient and practical solution to every requirment. PTAsia extends its expertise to customers in the food, beverage, chemical, personal care, pharmaceutical, medical device, electronics, aerospace, military, automotive, and other industrial markets.
  • วิสัยทัศน์ของบริษัท คือ การอยู่ในระดับแนวหน้า "ฟอร์ฟร้อนท์" ของเทคโนโลยีประเภทต่างๆ และนำเทคโนโลยีนั้นๆ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมและกระบวนการผลิตในประเทศไทย เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้า บริษัท ฟอร์ฟร้อนท์ ฟู้ดเทค จำกัด เชื่อมั่นและยึดมั่นในอุดมการณ์การดำเนินธุรกิจ กล่าวคือ จำหน่าย สินค้าและให้บริการที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ด้วยความซื่อสัตย์และความตรงต่อเวลา เพื่อการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จร่วมกันระยะยาว Our vision is to be in the "forefront" of technology in its field and suitably apply the technology to industries and production in Thailand for customers' utmost benefits. Forefront Foodtech Co., Ltd. strongly believes in and is committed to our own business philosophy which is to supply high quality products and service appropriately to each customer's requirements with honesty and punctuality in order to maintain long term win-win business relationship. Forefront Foodtech Co., Ltd. is the agent company that supplies machinery and system, install and provide after sales service as well as spare parts. Our products are: Nock, made in Germany: manufacturer of skinning machines, membrane skinning machine, slicers and scale ice makers. Frey, made in Germany: manufacturer of vacuum stuffers and chain linking system. Kronen, made in Germany: manufacturer of washing, centrifuges and cutting machinery for vegetable and fruits. Bandall, made in Netherlands: manufacturer of banding machine. Emerson, made in Romania: smoke chamber. G.Mondini, made in Italy: manufacturer of top seal, skin pack, paper seal, slimfresh and slicefresh for ready meal, meat, petfood and etc. Dorit, made in Germany: manufacturer of tumblers and injectors. Cliptechnik, made in Germany: manufacturer of single and double clippers for table top use and standalone clipping machines. Firex, made in Italy: manufacturer of food-processing equipment for kitchen and commercial equipment. Orved, made in Italy: manufacturer of vacuum packing machine. Carsoe, made in Denmark: designs and produces products for the seafood and food processing industry Gernal, made in Belgium: manufacturer of food-processing equipment for industrial Mado, made in Germany: manufacturer of meat-processing industry