TUF ช็อควงการอีกครั้งรวบหุ้น 40% PPC ผงาดขึ้นเบอร์ 1 ครองตลาดส่งออกกุ้งโลก
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรการบริหาร บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (TUF) ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ทางTUF ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท แพ็คฟู้ด จำกัด (มหาชน) (PPC) ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลระดับต้นๆ ของไทย ไม่ต่ำกว่า 40% ในจำนวน 30 ล้านหุ้น ทั้งนี้ ราคาเสนอซื้อหุ้น PPC ต่อหุ้นจะกำหนดจากมูลค่าตาม บัญชีสุทธิ ต่อหุ้นของงบการเงินรวมของ PPC ประจำปี 2554 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ที่่ตรวจสอบแล้วโดยผู้สอบบัญชีของ PPC
การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องและเกื้อหนุนกัน ทาง TUF ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือผสานความชำนาญและประสบการณ์ในธุรกิจของบุคลากรทั้ง 2 บริษัท จะนำมาซึ่งการร่วมมือกันในหลายด้าน เช่น การจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน การทำตลาดทั้งในและต่างประเทศด้วยแผนที่ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าทุกตลาดทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ศักยภาพของความร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการขยายฐานรายได้และทำกำไรจากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลังจากทั้งสองบริษัทรวมกันจะทำให้ยอดกำลังการผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นเป็น 400 ตันต่อวัน แบ่งเป็นยอดการผลิตของ TUF 220 ตันต่อวัน PPC 200 ตันต่อวัน
ปัจจุบัน PPC ถือเป็นผู้ส่งออกกุ้งเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาติดอันดับ 1 ใน 2 มียอดรายได้รวมจากการส่งออกต่อปีประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม การรวมตัวกันครั้งนี้จะทำให้ TUF มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ตัวเลขปี 2555 TUF จะยอดรายได้เติบโตประมาณ 20% และภายใน 2 ปี หรือประมาณปี 2556 จะสามารถทำกำไรเติบโตได้ถึง 4.000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม โดยสิ้นปี 2554 คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 3.500 ล้านดอลลาร์สูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ แม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปจะมีปัญหา แต่ตนมองว่า กุ้งเป็นสินค้าพื้นฐานที่มีราคาไม่สูง และมีความต้องการต่อเนื่อง และทางบริษัทมีฐานการตลาดในสหรัฐและยุโรปอยู่แล้ว ปีนี้จึงถือเป็นปีทองของผู้ส่งออกกุ้ง
นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง TUF และ PPC ในครั้งนี้จึงเป็นก้าวที่สำคัญที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและอาหารสำเร็จรูปของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ เนื่องจากแนวโน้มความต้องการการบริโภคอาหารสำเร็จรูปกำลังเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้กว้างขึ้นอีกทั้งการร่วมมือกันในครั้งนี้จะทำให้ทั้ง TUF และ PPC จะเอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองบริษัทในการวางกล ยุทธการตลาดให้สอดคล้องกับอุปสงค์และอุปทานของโลกได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ปัจจุบัน PPC ถือเป็นผู้ส่งออกกุ้งเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาติดอันดับ 1 ใน 2 มียอดรายได้รวมจากการส่งออกต่อปีประมาณ 8,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การจัดหาและการจัดการวัตถุดิบจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากจากนี้ไป TUF และ PPC จะมีการวางแผนการจัดหาและจัดการวัตถุดิบร่วมกัน ซึ่งผู้บริหารคาดว่าความต้องการวัตถุดิบรวมของ TUF และ PPC นั้นจะส่งผลให้เกิดศักยภาพในการได้มาซึ่งปริมาณวัตถุดิบที่มากขึ้น ในราคาและเงื่อนไขที่ดีขึ้น อีกทั้งการใช้ทรัพยากรร่วมกันยังจะส่งผลดีต่อการมีต้นทุนที่ลดลงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว TUF ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PPC ในช่วงเช้าวันที่ 21 ธันวาคม 2554 โดย TUF จะเข้าซื้อหุ้นของ PPC ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้นลง TUF จะซื้อหุ้นของ PPC โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ PPC โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) และชำระเงินซื้อหุ้นเป็นเงินสดทั้งจำนวน โดยภายหลังการทำรายการนั้น TUF จะถือหุ้นใน PPC ไม่ต่ำกว่า 40% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ทั้งนี้ ราคาเสนอซื้อหุ้น PPC ต่อหุ้นจะกำหนดจากมูลค่าตามบัญชีสุทธิ ต่อหุ้นของงบการเงินรวมของ PPC ประจำปี 2554 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ที่่ตรวจสอบแล้วโดยผู้สอบบัญชีของ PPC ภายหลังการเข้าทำรายการ กลุ่มผู้ขายจะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นใน PPC ที่มากกว่าสัดส่วนการถือหุ้นของ TUF และจะยังคงเป็นผู้บริหารหลักใน PPC ต่อไปขั้นตอนหลังจากนี้ก็จะเป็นการกำหนดราคาเสนอซื้อ ประมาณเดือนมีนาคม 2555 หลังจากนั้น TUF จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ PPC ซึ่งคาดว่าการดำเนินการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2 ของปี 2555
ที่มา
ประชาชาติธุรกิจ