แมกนีเซียม
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบทั้งในพืชและสัตว์ ในพืชแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ในร่างกายคน
พบแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูก มีอยู่ในเนื้อเยื่อ และของเหลวต่างๆ คนปกติในร่างกายมีแมกนีเซียม 20-35 กรัม
อยู่ในกระดูก ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ในรูปของเกลือฟอสเฟตและคาร์บอเนต และมีอยู่ในเลือดประมาณ 2-3 มิลลิกรัม
หรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ของแมกนีเซียมทั้งหมดในร่างกาย แมกนีเซียมจำนวนนี้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในรูปของไอออน
ในเม็ดเลือดแดงมีแมกนีเซียมประมาณ 3.5 มิลลิสมมูลต่อลิตร ในพลาสมามีประมาณ 1.5-2.0 มิลลิสมมูลต่อลิตร ในเซลล์ของ
เนื้อเยื่อมีประมาณ 16 มิลลิกรัมต่อลิตร ในน้ำไขสันหลังมีประมาณ 3 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และในกล้ามเนื้อมีประมาณ 21 มิลลิกรัม
ต่อ 100 กรัม ภายในเซลล์มีแมกนีเซียมมากเป็นที่สองรองจากแคลเซียม มีความเข้มข้นประมาณ 15 มิลลิสมมูลต่อลิตร
แมกนีเซียมที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ จะรวมอยู่กับโปรตีน และพบมากในส่วนของไมโทคอนเดรีย
การดูดซึมแมกนีเซียม
แมกนีเซียมถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยการขนย้ายที่อาศัยพลังงาน (active transport) และมีตำแหน่งของตัวพา (carrier site) กับแคลเซียม อาหารที่มีแคลเซียมหรือแมกนีเซียมมากเกินไป จะมีผลกระทบต่อการดูดซึมของอีกแร่ธาตุหนึ่ง ภาวะความเป็นกรดจะช่วย
เพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมและแมกนีเซียม
การมีออกซาเลตหรือกรดไฟทิกจะลดการดูดซึมของแร่ธาตุทั้งสอง วิตามินดีและพาราไทรอยด์ฮอร์โมนซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
จะไม่มีผลต่อการดูดซึมของแมกนีเซียม
แมกนีเซียมถูกดูดซึมได้ประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ของที่ได้รับจากอาหาร ถ้าได้รับมากการดูดซึมจะลดลงเหลือประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าได้รับน้อยการดูดซึมจะเพิ่มขึ้นเป็น 75 เปอร์เซ็นต์
ในคนปกติ แมกนีเซียมที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะถูกขับออกมาในปัสสาวะประมาณ 35-40 เปอร์เซ็นต์ ของที่ได้รับในแต่ละวัน
(ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม) ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมจะปนออกมากับอุจจาระ ในภาวะที่ร่างกายขาดแมกนีเซียมหรือได้รับจากอาหาร
ไม่เพียงพอ แมกนีเซียมจะถูกดึงออกมาจากกระดูกเพื่อช่วยรักษาภาวะสมดุลของแมกนีเซียมในเลือด ไตและลำไส้เล็กจะทำหน้าที่
ควบคุมไม่ให้เกิดการสูญเสียแมกนีเซียมออกจากร่างกาย โดยไตจะช่วยดูดซึมแมกนีเซียมกลับสู่ร่างกายด้วย
หน้าที่ของแมกนีเซียม
แมกนีเซียมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ
1. การทำงานของหัวใจ
2. การหดตัวของกล้ามเนื้อ แมกนีเซียมทำงานร่วมกับแคลเซียม ในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ โดยแคลเซียม
จะช่วยในการหดตัว และแมกนีเซียมจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว จึงต้องทำงานร่วมกัน
3. ควบคุมการส่งต่อ หรือการถ่ายทอดสัญญาณกระตุ้นประสาทการส่งสัญญาณทำงานของเซลล์ประสาท ซึ่งทำงานร่วมกับแคลเซียม
4. มีหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น หรือเร่งการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ในเมแทบอลิซึม เช่น เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดทีฟฟอสฟอริเลชัน
(oxidative phosphorylation) เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน โดยช่วยในการรวมตัวของไรโบโซม
แมกนีเซียมช่วยในการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิด จำเป็นต่อการปล่อยและการใช้ประโยชน์ของเอนไซม์ที่ได้จาก
เมแทบอลิซึมของสารอาหาร
5. เป็นตัวเร่งการทำงานของเอนไซม์เฮกโซไคเนส ฟรักโทไคเนส ไพรูวิกคาร์บอกซิเลส ไพรูวิกออกซิเดส ครีเอทีนไคเนส
ไดฟอสโฟไพริดีนนิวคลีโอไทด์ฟอสฟอริเลส และโคเอนไซม์เอ
6. ช่วยต้านการสลายแคลเซียมออกจากสารอีนาเมล (enamel) ที่เคลือบฟัน
นอกจากนี้แมกนีเซียมยังมีอยู่ในของเหลวทั่วร่างกาย (body fluid) เพื่อช่วยในการทำหน้าที่ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
และอยู่ภายในเซลล์ช่วยในการสังเคราะห์ ATP และเป็นโคแฟคเตอร์ของเอนไซม์ต่างๆ
แมกนีเซียมมีผลกระทบโดยตรงต่อเมแทบอลิซึมของโพแทสเซียม แคลเซียม และวิตามินดี มีบทบาทสำคัญในเซลล์ของ
เนื้อเยื่อต่างๆ ในกระบวนการสร้างโปรตีน และจำเป็นต่อการปล่อยพลังงานภายในเซลล์
เนื้อเยื่อต่างของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ หัวใจ ตับ และเนื้อเยื่ออื่นๆ และอยู่ในของเหลวต่างๆ ในร่างกายมีแมกนีเซียม
ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์
ปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ
ในแต่ละวันร่างกายคนแต่ละช่วงอายุต้องการแมกนีเซียมแตกต่างกัน
ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียมวันละ 350 มิลลิกรัม
ผู้หญิงควรได้รับวันละ 300 มิลลิกรัม
หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรได้รับวันละ 450 มิลลิกรัม
เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ควรได้รับวันละ 60-70 มิลลิกรัม
เด็กอายุ 2-7 ปี ควรได้รับวันละ 150 มิลลิกรัม
เด็กอายุ 7-10 ปี ควรได้รับวันละ 250 มิลลิกรัม
แหล่งของแมกนีเซียมในอาหาร
แมกนีเซียมพบมากในผักใบเขียวทุกชนิด เนื่องจากแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของคลอโรฟิลล์
ซึ่งเป็นสารสีเขียวในพืช ดังนั้นอาหารพวกผักและผลไม้สดจะมีแมกนีเซียมมาก และยังพบในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วเหลือง
ถั่วลิสง วอลนัท แป้งข้าวสาลี หอยนางรม ถั่วดำ เต้าหู้ ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน แอลมอนด์ รำข้าว ปวยเล้ง และข้าวโพด
ในน้ำนมและเนื้อสัตว์มีแมกนีเซียมน้อย ปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน (RDA) ของแมกนีเซียมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง
200-700 มิลลิกรัม
ผลของการขาดแมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมจะพบในชุมชนที่กินน้ำอ่อน (soft water) ถ้าร่างกายขาดมากจะมีอาการผิดปกติของระบบประสาท
เช่น สับสนเกี่ยวกับทิศทาง มีอาการตื่นเต้นมาก จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อเกร็ง การขาดแมกนีเซียมจะพบได้
ในเด็กขาดอาหาร ในคนที่ติดเหล้าเรื้อรัง (alcoholism) และในคนที่ลดความอ้วนโดยงดการกินอาหาร และคนที่สูญเสียเหงื่อมาก
จากการออกกำลังกาย
ภาวะที่ทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม หรือเกิดภาวะสมดุลของแมกนีเซียมเป็นลบ ได้แก่ พิษสุราเรื้อรัง เบาหวาน
อย่างรุนแรงชนิดที่เกิดภาวะเป็นกรด ตับอักเสบ การดูดซึมแมกนีเซียมที่ผิดปกติ เช่น ท้องร่วงอย่างรุนแรง โรคขาดโปรตีน
อาเจียนอย่างรุนแรง และการกินยาขับปัสสาวะ
การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แมกนีเซียมถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะมากกว่าปกติประมาณ 3 เท่า การขาดแมกนีเซียม
มักเกิดร่วมกับการขาดแร่ธาตุอื่นๆ เช่น โพแทสเซียม ทำให้มีแมกนีเซียมในเซลล์ลดลง หากแมกนีเซียมในกล้ามเนื้อลดลง
ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของค่าปกติ จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ และมีอาการทางประสาท
ความเป็นพิษของแมกนีเซียม
ความเป็นพิษของแมกนีเซียมมักเกิดได้ในผู้สูงอายุที่กินยาระบาย ยาลดกรด และยาอื่นๆ ที่มีแมกนีเซียมด้วย
หากอาการรุนแรงอาจมีผลต่อภาวะสมดุลของกรด-ด่าง ท้องร่วง ไตพิการ ไม่สามารถทรงตัวได้ สับสน โคมา และตายได้
จากโรคหัวใจวาย ดังนั้นผู้สูงอายุที่กินยาระบาย ควรกินด้วยความระมัดระวัง
ภาวะการขาดแมกนีเซียม อาจเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง การขาดแมกนีเซียม
อาจทำให้เกิดประสาทหลอน และมีอาการผิดปกติทางประสาท
อย่างไรก็ตาม การขาดแมกนีเซียมเกิดขึ้นได้ยาก ยกเว้นมีการอาเจียนอย่างรุนแรง ท้องร่วง ติดเหล้า เป็นโรคไต ต่อมไร้ท่อ
ทำงานผิดปกติ ขาดโปรตีน จะส่งเสริมให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม การใช้ยาขับปัสสาวะอาจทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม
และแร่ธาตุอื่นๆ ได้