Shigellosis หรือโรคบิด โรคอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ซึ่งเกิดจากติดเชื้อ (infection) จาก แบคทีเรีย Shigella
Shigellosis |
ลักษณะโรค เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของลำไส้ใหญ่ และลำไส้เล็ก เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมีอาการท้องเสียร่วมกับอาการไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ตะคริว และปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ ในเด็กอาจพบอาการชัก ในผู้ป่วยที่แสดงอาการชัดเจนนั้น จะถ่ายอุจจาระเป็นเลือด มูก และหนอง ซึ่งเป็นผลมาจากการแตกของฝีเล็กๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียผ่านเยื่อบุลำไส้ เข้าไปก่อฝีในชั้น camina propria ของลำไส้ใหญ่ อาการอุจจาระเหลวเป็นน้ำ ร่วมกับอาเจียนเกิดขึ้นได้เป็นผลจากสารพิษ enterotoxin ของเชื้อในระยะที่เชื้อผ่านลำไส้เล็ก พบภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ไม่บ่อย อาจพบการติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อย โดยปกติภาวะการเจ็บป่วยของโรคนี้หายได้เอง ระยะเวลาเกิดอาการตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ โดยเฉลี่ย 4-7 วัน ความรุนแรงของโรคและอัตราป่วยตายขึ้นอยู่กับภาวะของบุคคล เช่น อายุ และภาวะโภชนาการ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อและชนิดของเชื้อ Shigella dysenteriae (Shiga's bacillus) เป็นเชื้อที่สามารถสร้างท็อกซิน มากกว่าโรคอื่น จึงเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดภาวะรุนแรงได้มาก และพบว่าทำให้เกิดอัตราป่วยตายสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 ในกลุ่มคนไข้ที่รับไว้ในโรงพยาบาล ตรงกันข้าม Shigella sonnei ทำให้เกิดอาการทางคลินิกระยะเวลาสั้นๆ และเกือบไม่พบผู้ป่วยเสียชีวิต ยกเว้นกรณีผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สาเหตุ Genus shigella ในปัจจุบันนี้ ประกอบด้วย 4 สายพันธุ์ คือ 1. subgroup A (Shigella dysenteraie) แบ่งออกเป็น 12 type: , 2. subgroup B (Shigella flexneri) แบ่งออกเป็น 6 type และยังแบ่งย่อยออกเป็น subserotype 9 subserotype 3. subgroup C (Shigella boydii) แบ่งออกเป็น 18 type 4. subgroup D (Shigella sonnnei) แบ่งออกเป็น 2 phase สำหรับ subgroup A, B และ C ยังแบ่งต่อไปอีก 40 serotypes โดยเขียนเรียงตามตัวเลขอารบิค ลักษณะจำเพาะของ plasmid มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค วิธีการติดต่อเนื่องจากการกินสิ่งปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย หรือผู้เป็นพาหะ อาจเป็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ปริมาณเชื้อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ (infective dose) สามารถเกิดขึ้นได้เพียงแต่กินเชื้อเข้าไปจำนวน 10-100 ตัว ผู้ติดเชื้อส่วนมากจะเป็นพวกที่ไม่ทำความสะอาดมือหลังจากถ่ายอุจจาระ การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสทางตรงกับสิ่งของต่างๆ หรือสัมผัสทางอ้อมกับอาหาร ส่วนการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหารโดย แมลงสาบ และแมลงวัน เกิดขึ้นได้จากสัตว์เหล่านี้นำเชื้อมาปนเปื้อน ระยะฟักตัว 1-7 วัน ที่พบบ่อยคือ 1-3 วัน ระยะติดต่อ ตั้งแต่ระยะติดเชื้อเฉียบพลันจนกระทั่งไม่พบเชื้อในอุจจาระ ซึ่งอาจจะนานถึง 4 สัปดาห์ หลังการเจ็บป่วย พวกพาหะที่ไม่มีอาการสามารถแพร่เชื้อได้ แต่โอกาสที่เชื้อจะอยู่นานเป็นหลายๆ เดือนนั้นมีน้อย อาการและอาการแสดง ไข้สูง อาจเกิน 38.5 องศาเซลเซียส นำมาก่อน 2-3 วัน เด็กอาจมีอาการชักร่วมด้วย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ในวันแรกๆ วันต่อมาถ่ายเป็นมูกปนเลือดเหนียวๆ ซึ่งจะแยกมูกเลือดออกจากเนื้ออุจจาระเห็นได้ชัดเจน อาการท้องเดินและถ่ายเป็นมูกเลือดเกิดขึ้นเนื่องจากเชื้อผ่านเข้าสู่ผนังลำไส้ ไม่ได้เกิดจากท็อกซิน ปวดเบ่ง มีอาการเหมือนถ่ายไม่สุด ถ่ายกระปริดกระปรอย อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน การวินิจฉัยโรค ทำได้โดยการแยกเชื้อจากอุจจาระหรือ rectal swab การดำเนินการทางห้องปฏิบัติการอย่างถูกต้องกับสิ่งส่งตรวจและใช้อาหารเลี้ยงเชื้อหลายๆ ชนิด พบว่าสามารถเพิ่มการแยกเชื้อ Shigella ได้ การติดเชื้อมักเกิดร่วมกับการพบหนองในอุจจาระ ระบาดวิทยาของโรค พบได้ทั่วโลก สองในสามของผู้ป่วยและผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี โดยเฉพาะในระยะที่กำลังหย่านม การเจ็บป่วยในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนพบไม่บ่อยนัก การติดเชื้อภายในบ้านเดียวกันพบได้บ่อยมาก คือพบตั้งแต่ร้อยละ 10 ถึง 40 การระบาดเกิดได้บ่อยในชุมชนแออัดและสุขาภิบาลไม่ดี เช่น คุก โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โดยปกติพบว่ามีการติดเชื้อมากกว่า 1 serotype ในชุมชน สามารถพบการติดเชื้อร่วมกับเชื้อชนิดอื่นๆ ที่ก่อโรคในลำไส้ เชื้อที่แยกได้ในประเทศกำลังพัฒนาคือ S. boydii, S. dysenteriae และ S.flexneri ในประเทศพัฒนาแล้ว พบเชื้อ S.sonnei บ่อยมากขณะที่ S.dyserteriae ไม่ค่อยพบ การรักษา การวินิจฉัยได้แต่แรกมีความสำคัญ การให้น้ำและสารเกลือแร่เพื่อชดเชย เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุด ยาปฏิชีวนะช่วยทำให้ระยะเวลาของการป่วยและการพบเชื้อในอุจจาระสั้นลง และควรเลือกใช้เฉพาะรายเมื่อมีเหตุผลสมควรในแง่ของความรุนแรงของการเจ็บป่วย หรือเพื่อป้องกันผู้สัมผัส เช่น ในศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรือสถาบันต่างๆ ที่มีข้อบ่งชี้ทางระบาดวิทยา พบการดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายๆ ชนิดได้บ่อย ดังนั้นการเลือกใช้ยาสำหรับเชื้อควรอาศัยผล antibiogram ของเชื้อที่แยกได้ หรือใช้ตาม antimicrobial susceptibility pattern ในท้องถิ่นนั้น และห้ามใช้ยาเพื่อลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ เมื่อเพาะเชื้อจากอุจจาระพบเชื้อ Shigella spp. ยาปฏิชีวนะที่ให้ในเด็กให้
การเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วย การป้องกันและควบคุมโรค มาตรการป้องกัน เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับโรคบิดมีมากมาย ทุกหน่วยงานสาธารณสุขควรประเมินสถานการณ์เฉพาะท้องที่ และให้การป้องกันการแพร่กระจายโรคอย่างเหมาะสม พบว่าไม่สามารถกำหนดแผนดำเนินงานแบบเดียวกันสำหรับทุกสถานการณ์ ภาวะที่มีอัตราป่วยตายสูงจากการติดเชื้อ S.dysenteriae type 1 ร่วมกับภาวะดื้อยาปฏิชีวนะ ควรมีการค้นหาแหล่งโรค สำหรับการระบาดที่เกิดขึ้นในสถาบันต่างๆ และในกรณีไม่ทราบเชื้อสาเหตุที่แน่นอน ควรแยกผู้ป่วยและผู้เริ่มป่วย และทำการเพาะเชื้อซ้ำในผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด การระบาดที่ยากต่อการควบคุมคือการระบาดในเด็กเล็ก (เพราะยังไม่สามารถใช้ส้วมอย่างถูกสุขลักษณะ) ในกลุ่มคนที่มีปัญหาด้านจิตประสาท และในสภาวะที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ วิธีป้องกันคือ 1. ให้สุขศึกษาแก่ชุมชน ด้านสุขวิทยาส่วนบุคคล ผู้ที่เป็นพาหะของโรค จะต้องล้างมือให้เป็นนิสัยก่อนและหลังการถ่ายอุจจาระและการปรุงอาหารหรือรับประทานอาหาร และการเสี่ยงต่อการรับประทานผักผลไม้ที่ไม่ได้ล้างหรือปอกเปลือก อาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุก รวมทั้งการดื่มน้ำที่ไม่แน่ใจว่าสะอาดเพียงพอ 2. มีการกำจัดอุจจาระอย่างถูกหลักสุขาภิบาลป้องกันการปนเปื้อนของแหล่งน้ำบริโภคสาธารณะ การใช้คลอรีนไม่สามารถกำจัด cyst ได้หมด การกรองน้ำผ่านทรายสามารถกำจัด cyst ออกได้เกือบหมด แต่การกรองผ่านดินกำจัด cyst ได้หมด น้ำดื่มจำนวนน้อยๆ เช่น ในกระติกหรือหม้อน้ำดื่ม อาจใช้ไอโอดีนทั้งในรูปน้ำ (8 หยดของ Tincture of iodine 2% ต่อน้ำ 1 ควอตซ์ หรือ 12.5 มิลลิลิตร ของ saturated aqueous solution ของเกลือไอโอดีนต่อน้ำ 1 ลิตร) หรือในรูปเม็ด (1 เม็ดของ tetraclycine hydroperiodide, Globalig, ต่อน้ำ 1 ควอตซ์) หรือที่ดีที่สุดคือใช้วิธีต้ม 3. ให้ความรู้แก่กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงจากการมีเพศสัมพันธ์โดยการติดต่อผ่านอุจจาระสู่ปาก 4. หน่วยงานสาธารณสุขควรดูแลด้านสุขอนามัย ของผู้ปรุงและเสริฟอาหาร และความสะอาดสถานที่ประกอบอาหาร การตรวจร่างกายผู้ปรุงอาหารเป็นประจำ ไม่แนะนำในทางปฏิบัติ 5. การจุ่มผัก หรือผลไม้ในน้ำยาฆ่าเชื้อ ไม่สามารถพิสูจน์ว่าป้องกันได้ แต่การล้างให้สะอาดแล้วผึ่งให้แห้งอาจช่วยป้องกันได้ การฆ่า cyst โดยทำให้แห้งสนิทใช้ความร้อนที่สูงกว่า 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์) และฆ่าโดยรังสีกำจัดแมลงวัน ปกปิดอาหารจากการตอม โดยใช้มุ้งลวด หรือวิธีอื่นๆ การใช้ยาเพื่อป้องกัน ไม่แนะนำการควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม การแยกผู้ป่วย:ในระยะที่มีอาการต้องมีความระมัดระวังการติดเชื้อทางเดินอาหารเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื้อบิดจำนวนเล็กน้อยสามารถทำให้เกิดโรคได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ไม่ควรให้ทำงานด้านการปรุงอาหาร ดูแลเด็กหรือผู้ป่วยจนกว่าผลการตรวจทางอุจจาระหรือ rectal swab ทั้ง 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ไม่พบเชื้อ และต้องไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง หลังหยุดให้ยาปฏิชีวนะ การทำลายเชื้อ: ในอุจจาระและสิ่งปนเปื้อน ชุมชนที่มีการทำลายเชื้อด้วยระบบกำจัดขยะปฏิกูลที่ทันสมัย อุจจาระสามารถถ่ายทิ้งโดยตรงในท่อระบายโดยไม่ต้องผ่านการฆ่าเชื้อ แต่จะต้องรักษาความสะอาดเพื่อมิให้มีการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม การแยกผู้ต้องสงสัย: ไม่จำเป็น การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส: ผู้สัมผัสโรคที่มีอาการควรหยุดการประกอบอาหารและการดูแลเด็กหรือผู้ป่วยทันที จนกระทั่งอาการท้องเสียหยุดหรือผลการเพาะเชื้อจากอุจจาระ 2 ครั้ง ไม่พบเชื้อ การสอบสวนผู้สัมผัสและค้นหาแหล่งโรค: การค้นหาผู้ป่วยที่มีอาการน้อย หรือพาหะที่หายจากอาการป่วยในหมู่ผู้สัมผัสอาจมีส่วนช่วยไม่ให้เกิดการติดเชื้อ และบางทีอาจช่วยในการควบคุมการระบาด การเพาะเชื้อผู้สัมผัสโดยทั่วไปควรมุ่งในกลุ่มผู้ประกอบอาหาร ผู้ดูแลคนไข้และเด็กในโรงพยาบาลและที่อื่นๆ ซึ่งอาจมีการแพร่กระจายของเชื้อ มาตรการในระยะระบาด: หากมีผู้ป่วยเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม ต้องรีบทำการตรวจสอบสวนแหล่งหาแหล่งแพร่เชื้อและวิธีการแพร่โรค แหล่งผลิตและแจกจ่ายน้ำ อาหารและน้ำนม และตรวจตราสุขาภิบาลทั่วไป ให้ทำการควบคุมทันที ไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการป้องกันก่อนเกิดการติดเชื้อ โอกาสที่จะเกิดการระบาดใหญ่:ในกรณีที่มีปัญหาด้านสุขาภิบาล หรือสุขาภิบาลอาหาร อาจก่อให้เกิดการระบาดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากร ที่มีจำนวนผู้ปล่อย cyst ออกมากับอุจจาระจำนวนมาก มาตรการควบคุมระหว่างประเทศ: มีการประสานงานกับองค์การอนามัยโลก ผ่านศูนย์ Salmonella-Shigella ของกระทรวงสาธารณสุข
Reference ความรู้เรื่องโรค Shigellosis สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
|