ซูริมิ (surimi) หมายถึง เนื้อปลาบด ไม่มีก้าง มีสีขาว มีกลิ่นคาวปลาของน้อยกว่าปลาสด มักนำไปแช่เยือกแข็ง (freezing) เพื่อเป็น
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความเหนียวยืดหยุ่น
วัตถุดิบที่ใช้ผลิตซูริมิ
1. วัตถุดิบหลักคือ ในการผลิตซูริมิเยือกแข็ง ส่วนใหญ่ผลิตจากปลาหน้าดิน เช่น อลาสกา พอลล๊อก และแปซิฟิก ไวท์ทิง แต่ปัจจุบัน
ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโล จึงมีการนำปลาหลายชนิดมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อน
ปลาที่ใช้เป็นวัตถุดิบเป็นปลาหน้าดินหลายชนิดส่วนใหญ่ ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาไส้กอ ปลาตาหวานจุด ปลาฤาษี ปลาจวด
ปลาแป้นยักษ์ เป็นต้น
ปลาที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาจอยู่ในรูปปลาสด หรือปลาแช่เยือกแข็ง (freezing) ไม่ควรใช้ปลาที่เสื่อมสภาพเป็นวัตถุดิบในการผลิตซูริมิ
เยือกแข็ง เนื่องจากมีคุณภาพทางประสาทสัมผัสไม่ดีพอที่จะผลิตเป็น kamaboko หรือ ปูเทียม ที่ได้รับการยอมรับจากบริโภค นอกจากนี้
แบคทีเรียที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย (microbial spoilage) ยังเป็นสาเหตุให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพ ทำลายความสามารถในการเกิดเจล (gel)
ของซูริมิเยือกแข็ง โดยการทำให้โปรตีนที่ละลายในน้ำเกลือเสียสภาพไป
2. สาร cryoprotectant เช่น น้ำตาลทราย (sucrose) น้ำตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohol) เช่น ซอร์บิทอล (sorbitol) เพื่อลดจุดเยือกแข็ง
ลดการสูญเสียสภาพธรรมชาติของโปรตีน (protein denaturation) ระหว่างการแช่เยือกแข็ง
3. สารช่วยเสริมความแข็งแรงของเจล ได้แก่ ไข่ขาว และวัตถุเจือปนอาหาร เช่น สารกลุ่ม ฟอสเฟต (phosphate) เพื่อเพิ่ม pH ให้โปรตีน
ละลายในน้ำได้ดีขึ้น และอุ้มน้ำได้มากขึ้น และเอนไซม์ทรานกลูตามิเนส (transglutaminase)
กลไกการเกิดเจลของซูริมิ
การเกิดเจลของเนื้อปลาเป็นการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนเมื่อเนื้อปลาที่ผ่านการล้างน้ำบดผสมกับเกลือแกงร้อยละ 2-3 ของน้ำหนักเนื้อปลา
ในระหว่างการผสมโครงสร้างของเนื้อปลาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยโปรตีนไมโอไฟบริล (myofibril) ที่ประกอบด้วย ไมโอซิน
(myosin) และแอกทิน (actin) ซึ่งละลายได้ในสารละลายเกลือปริมาณร้อยละ 2.0-3.0 ของน้ำหนักเนื้อปลาและจะเริ่มละลายและละลาย
เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ใช้ในการผสมไมโอซินและแอทินจับตัวกันเป็นแอกโทไมโอซิน (actomyosin) ทำให้เนื้อปลามีความหนืด ซึ่งเรียกว่าโซล
จากนั้นได้รับความร้อนทำให้เกิดเจล (gel) ซึ่งมีความแข็งของเจล (gel strength) และความยืดหยุ่น (elasticity)
กรรมวิธีการผลิตซูริมิ
กระบวนการผลิตซูริมิเยือกแข็งมีข้อพิจารณาในแต่ละขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมปลา (ขั้นตอนการผลิตที่ 1-8)
1.1 การรับวัตถุดิบปลาสด และ ปลาเยือกแข็ง (ขั้นตอนการผลิตที่ 1)
1.2 การเก็บรักษาด้วยวิธีแช่เย็น (ขั้นตอนการผลิตที่ 2)
1.3 การล้าง และขอดเกร็ด (ขั้นตอนการผลิตที่ 6)
1.4 การตัดหัว ควักไส้ (ขั้นตอนการผลิตที่ 7)
ดูรายละเอียดในหัวข้อ 3.1.5
1.5 การล้าง (ขั้นตอนการผลิตที่ 8)
3. กระบวนการแยกเนื้อปลา (ขั้นตอนการผลิตที่ 9)
เป็นขั้นตอนที่แยกเนื้อปลาออกจากก้าง กระดูกและหนัง โดยใช้เครื่องแยกเนื้อปลา นิยมใช้อยู่ สองระบบคือใช้ระบบสายพานและลูกกลิ้ง
แยกเนื้อปลาได้ร้อยละ 40-70 การใช้แรงกดอัดสูงทำให้ได้ผลิตผลมาก แต่เนื้อปลามี ก้าง กระดูกและหนังปนมามาก ซูริมิจะมีสี
เนื่องจากสีของพวกอวัยวะภายในติดออกมาด้วย
การบดเนื้อปลาด้วยเครื่องจักร อาจมีเศษโลหะปะปนได้ จึงควรติดตั้งอุปกรณ์ตรวจหาโลหะที่สามารถตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนด้วย
เศษโลหะที่มีขนาดที่สามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตราย ตามจุดที่เหมาะสมของกระบวนการผลิตเพื่อกำจัดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค
นำเนื้อปลาบดแล้วใส่ในน้ำทันที แล้วผ่านเข้าสู่ขั้นตอนของการล้าง-การขจัดน้ำ โดยเร็ว เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดซึ่งมีผลให้สูญเสีย
ความแข็งแรงของเจล
4. การล้างเนื้อปลาบดและการกำจัดน้ำล้าง (ขั้นตอนการผลิตที่ 10)
การล้างเนื้อปลาบด เพื่อกำจัดโปรตีนที่ละลายน้ำได้ เลือด เอนไซม์ ออกจากโปรตีนไมโอไฟบริล และเพื่อแยกไขมัน หนัง สิ่งเจือปนกลิ่นที่ไม่ดี
ช่วยปรับปรุงความสามารถในการเกิดเจล ทำให้เนื้อปลาบด มีความขาวขึ้น โดยใช้อัตราส่วนของเนื้อปลาต่อน้ำประมาณ 1:4 ล้าง 2-3 ครั้งอาจใช้น้ำเกลือเย็นความเข้มข้นร้อยละ 0.2-0.3 โดยน้ำหนัก ในการล้างครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยให้การขจัดน้ำมีประสิทธิภาพดีขึ้นคุณภาพของน้ำล้างมีมาตรฐานระดับน้ำบริโภค ควรมีค่าความเป็นกรด-เบส ประมาณ 7 และควรมีความกระด้าง (water hardness) ในรูปของเกลือแคลเซียมคาร์บอเนตประมาณ 100 ส่วนในล้านส่วน ไม่ควรนำน้ำล้างกลับมาใช้อีกยกเว้นว่ามีการควบคุมคุณภาพทางจุลินทรีย์อย่างเหมาะสมควรทำให้เนื้อปลาบดกระจายตัวในน้ำล้างอย่างสม่ำเสมอ อุณหภูมิของน้ำล้าง10°C หรือต่ำกว่า เพื่อควบคุมการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ก่อโรคและป้องกันการย่อยสลายจากเอนไซม์โปรตีเอส (protease) การล้างปลาแปซิฟิก ไวท์ทิง ควรใช้น้ำเย็น อุณหภูมิต่ำกว่า 5°C เนื่องจากปลาชนิดนี้มีกิจกรรมของ เอนไซม์โปรดีเอส สูง ส่วนปลาจากเขตร้อนน้ำที่ใช้ล้างอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นการล้างเนื่อปลาบดควรทำอย่างโดยเร็ว เพื่อลดการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรคการใช้วัตถุเจือปนอาหารในน้ำล้างต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต
หลังการล้างเนื้อปลาบดจะกำจัดน้ำออก ให้เหลือความชื้นร้อยละ 80-85 ด้วยเครื่อง เครื่องหมุนเหวี่ยง (centrifuge) เครื่องบีบอัดด้วยไฮดรอลิกส์ (hydralic press) เครื่องบีบอัดเกลียว (screw press)
การล้างมีผลต่อการสูญเสียน้ำหนักถึงร้อยละ 30-50 ทั้งนี้ขึ้นกับวิธีการและเครื่องมือในระหว่างการล้าง แต่การล้างหลายครั้งจะทำให้คุณภาพซูริมิดีขึ้น เนื้อขาวขึ้น และเกิดเจลได้ดี การล้างปลาบดมีน้ำเสียปริมาณมากโรงงานต้องมีระบบบำบัดน้ำเสีย (waste water treatment) อย่างเหมาะสม
5. การรีไฟน์ (ขั้นตอนการผลิตที่ 11)
การรีไฟน์มีวัตถุประสงค์ เพื่อกำจัดพังผืด ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) เกล็ดปลา เศษเลือด และก้างขนาดเล็ก ออกจากเนื้อปลาบด ทำการรีไฟน์เนื้อปลาบดใช้เครื่องรีไฟน์เนอร์ (Refiner) ซึ่งเป็นเครื่องหมุนเหวี่ยงด้วยความเร็วสูงผลักให้เนื้อผ่านตะแกรงที่มีรูเล็กๆ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2-3.2 มิลลิเมตร ส่วนที่เป็นเกล็ด หนังและกระดูกจะติดค้างไม่ผ่านรูออกไป การรีไฟน์ ต้องทำทันทีหลังจากการขจัดน้ำ และไม่ปล่อยให้มีเนื้อปลารีไฟน์แล้วค้างอยู่บนตะแกรงของเครื่องเป็นเวลานาน ควบคุมอุณหภูมิของเนื้อปลาบดขณะที่รีไฟน์ไม่เกิน 10°C เพื่อป้องกันการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรคและป้องกันการแปลงสภาพของโปรตีน
ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะที่สามารถตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนด้วยเศษโลหะที่มีขนาดที่สามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตราย ตามจุดที่เหมาะสมของกระบวนการผลิต เพื่อกำจัดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค
6. การขจัดน้ำครั้งสุดท้าย (ขั้นตอนการผลิตที่ 12)
7 การผสม และเติมวัตถุเจือปนอาหาร (ขั้นตอนการผลิตที่ 13)
ผสมเนื้อปลากับวัตถุเจือปนอาหารในกลุ่ม Cryoprotectantเพื่อป้องกันโปรตีนเสื่อมสภาพจากการแช่เยือกแข็ง ได้แก่ น้ำตาลซูโครสร้อยละ 4-5 ซอร์บิทอล (sorbitol) ร้อยละ 4-5 โพลีฟอสเฟตร้อยละ 0-0.3 โดยโมเลกุลของ Cryoprotectants จะเป็นตัวสร้างพันธะกับโมเลกุลของโปรตีนและ สร้างพันธะจับกับน้ำช่วยเพิ่มความสามารถในการจับน้ำของโปรตีนและลดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีนระหว่างการแช่เยือกแข็ง
การใช้วัตถุเจือปนอาหารให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศหรือตามมาตรฐาน Codex เรื่อง Codex General Standard for Food Additives ปลาที่มีเอนไซม์ย่อยสลายโปรตีนในปริมาณสูง เช่น ปลาแปซิฟิก ไวท์ทิง อาจใช้สารยับยั้งเอนไซม์ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร (เช่น ไข่ขาว โปรตีนพลาสมาของวัว) เนื่องจากเอนไซม์จะไปลดความสามารถในการเกิดเจลของซูริมิในระหว่างกระบวนการผลิต kamaboko หรือ ปูเทียม โดยหากใช้โปรตีนพลาสมาต้องระบุไว้บนฉลากอย่างเหมาะสม
การนวดผสมต้องให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และทำอย่างรวดเร็ว ในระหว่างการนวดผสม ควรรักษาอุณหภูมิไม่สูงเกิน10° เพื่อควบคุม การเจริญของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
8 การบรรจุ และชั่งน้ำหนัก (ขั้นตอนการผลิตที่ 14)
9 การแช่เยือกแข็ง (ขั้นตอนการผลิตที่ 15)
10. การนำผลิตภัณฑ์ออกจากถาดทำเยือกแข็ง (ขั้นตอนการผลิตที่ 16)
ทำด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการแตกของถุงพลาสติกและผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำในระหว่างการเก็บรักษาเป็นเวลานาน
11. การตรวจจับโลหะและสิ่งแปลกปลอม (ขั้นตอนการผลิตที่ 17)
ควรติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะที่สามารถตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนด้วยเศษโลหะที่มีขนาดที่สามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตราย ตามจุดที่เหมาะสมของกระบวนการผลิตเพื่อกำจัดอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริโภค
12. การบรรจุหีบห่อ และ ติดฉลาก (ขั้นตอนการผลิตที่ 18)
13. การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เยือกแข็ง (ขั้นตอนการผลิตที่ 19)
14. การรับวัตถุดิบ - ภาชนะบรรจุ และส่วนประกอบอาหาร (ขั้นตอนการผลิตที่ 21 และ 22)
15. การเก็บรักษาวัตถุดิบ - ภาชนะบรรจุและบรรจุภัณฑ์ และส่วนประกอบอาหาร (ขั้นตอนการผลิตที่ 23 และ 24)
ผลิตภัณฑ์จากซูริมิ (Surimi based products)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำซูริมิแช่เยือกแข็ง หรือ ซูริมิสดสับผสมกับเกลือในปริมาณที่เหมาะเพื่อละลายโปรตีนไมโอไฟบริล (myofibril)
และเติมส่วนผสมอื่นๆ ที่ต้องการ เช่น แป้ง ไข่ขาว ผงชูรส และสารให้กลิ่นรส แล้วขึ้นรูปด้วยการใช้ความดัน (extruded) การทำให้เกิด
ลักษณะเส้นใย (fiberized) หรือขึ้นรูปด้วยการใช้เบ้าประกอบ (composite-molded) โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์สุดท้าย
ที่ต้องการพร้อมๆ กับการให้ความร้อนเพื่อสร้างความคงทนของรูปร่าง สร้างเนื้อสัมผัส และลดปริมาณจุลินทรีย
ซูริมิเป็นวัตถุดิบ สำหรับทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ไส้กรอก ทอดมัน ปลาเส้น เนื้อปูเทียม ลูกชิ้นปลาคามาโบโกะ (Kamaboko)
ลูกชิ้นปลาชิกูวะ (Chikuwa)
Reference
ซูริมิและผลิตภัณฑ์จากซูริมิ (Surimi and Surimi based products)
George I. Flick, Ir. and Roy E. Martin.The Seafood Industry: Species, Products, Processing, and Safety, Second Edition.